ฤดูกาลที่เฝ้าคอยของเดอะค็อปมาถึง

สามเกมแรกหวดเวสต์แฮมถึงสี่ประตู จากนั้นก็ชนะพาเลซสองประตู และชนะไบร์ทตันแบบหืดจับที่แอนด์ฟิลด์เพียงลูกเดียว ทั้งสามนัดเป็นการเก็บคลีนชีตที่งดงามของอลิซนและเหล่ากองหลังที่บัญชาเกมโดยเวอร์จิล อลิซนแสดงให้เห็นการเป็นผู้รักษาประตูระดับโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเซฟลูกยาก แล้วยังโชว์สกิลการใช้เท้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสวีปเปอร์คีพเปอร์โดยล็อคบอลหลบกองหลังที่พยายามจะจี้เข้ามาแย่งบอลตอนที่ลูกบอลส่งคืน รวมถึงการออกบอลสั้นบอลยาวที่แม่นยำ แต่สามเกมดังกล่าวทำให้บรรดากองหน้าของทีมฝ่ายตรงข้ามเห็นช่องทางที่จะกดดันผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูล จนกระทั่งนัดแข่งกับเลสเตอร์อลิซน ได้บอลคืนหลังจากเวอร์จิลซึ่งไม่ต่อยดีนักเพราะบอลโดนบีบจากสองกองหน้า และฉีกไปทางซ้ายของกรอบเขตโทษ อลิซนพยายามจับบอลไม่ให้ออก ล็อคบอลกลับขณะที่ Iheanacho วิ่งเข้ามาไล่บอล เขารู้แล้วว่านายทวารลิเวอร์พูลจะไม่เตะบอลทิ้ง สิ่งที่เขาคิดก็เป็นแบบนั้น เขาใช้ความแข็งแกร่งแย่งคืนและส่งบอลให้กับ Ghezzal ยิงตีไข่แตก เป็นการเสียคลีนชีตแรก เสียประตูแรกที่เจ็บปวด นายทวารที่เคยมีค่าตัวแพงที่สุด นักเตะลิเวอร์พูลเป็นที่จับตามองของแฟนบอลฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขารอเวลาที่จะขย้ำ แน่นอนว่าสถานการณ์นี้แฟนบอลที่จ้องจะเขย่าขวัญอลิซน แล้วก็ได้โอกาสขย่มอย่างแรง รวมถึงสื่อมวลชน แต่ทั้งเยอร์เก้น และเพื่อนร่วมทีม ต่างพูดถึงเหตุการณ์นี้ว่ามันคือบทเรียน ปกป้องการเล่นของอลิซน โชคดีที่อลิซนไม่ใช่นายประตูที่มีอีโก้ เขาเรียนรู้การผิดพลาด ออกมายอมรับ และจะไม่ยอมให้สิ่งแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาอีกต่อไป นั่นเป็นการจบเรื่องราวดรามาการเสียประตูอย่างรวดเร็ว

แชมเปี้ยนลีกกลับมาอีกครั้ง

แม้ฤดูกาลก่อน (17/18) ลิเวอร์พูลจะจบอันดับที่สี่ แต่พวกเขาไม่ต้องไปแข่งรอบก่อนแบ่งกลุ่มอีกแล้ว แต่ปัญหาก็คือพวกเขาจะต้องไปอยู่ในโหลที่สามซึ่งไม่ใช่โหลตัวเต็ง นั่นหมายความว่าลิเวอร์พูลถ้าโชคร้ายอาจจะต้องไปอยู่ในกรุ๊ปที่แข็งแกร่งที่มีทีมที่มาจากแชมป์ และค่าสัมประสิทธิ์ที่สูงกว่า แน่นอนหลายทีมก็คงไม่อยากเจอลิเวอร์พูลที่อยู่โถที่สามเช่นกัน เพราะจะกลายมาเจอทีมแข็งแกร่งกว่าปกติเ

ผลการจับสลากลิเวอร์พูลจอยู่ร่วมกลุ่มซีกับ PSG นาโปลี และ Crvena Zvezda หรือเรดสตาร์เบลเกรด นั่นเอง PSG คือยอดทีมจากฝรั่งเศส พวกเขามีเนย์มาร์ เอ็มปัปเป้ คาวานี่ ดิมาเรีย นักเตะระดับท็อปของโลก แข็งแกร่ง อันตราย ขณะเดียวกัน นาโปลี ที่มีอัลเชล็อตติคุมทีมต่อจากซารี่ที่ย้ายฟากมาคุมเชลซี เราต่างรู้กิตติศัพท์ของอัลเชฯ เป็นอย่างดี นาโปลีมีทีมที่ดีมาก แม้ช่วงต้นซีซั่นเราจะอุ่นเครื่องกับพวกเขาแล้วชนะไปท่วมท้น แต่นัดอุ่นเครื่องคงเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลกับอัลเชยังมีคดีติดตัวกันที่อิสตันบุล แม้อัลเชฯ จะชำระแค้นกันมาแล้วก็ตาม ส่วนซเวซดาก็ไม่ใช่ทีมระดับต่ำ พวกเขามีสนามเหย้าที่แข่งแกร่ง Rajko Mitic Stadium ถ้าใครเห็นคลิปทางเดินในอุโมงค์ สามารถข่มขวัญพวกขวัญอ่อนได้เลย ที่นั่นพร้อมจะขย้ำคู่ต่อสู้ที่มาเยือนไม่เหลือซาก นัดเหย้าที่ Rajko Mitic Stadium ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องดร็อป ชาชีรีซึ่งมีเชื้อสายอัลแบเนีย ไม่ให้ร่วมเดินทางไปเนื่องจากเกรงปัญหาทางด้านการเมืองและเชื้อชาติ ดังนั้นสายนี้ไม่ใช่สายที่ง่ายเลย เป็นกลุ่มที่สี่ทีมใกล้เคียงกันมาก การพลาดท่าเพียงนัดเดียวอาจจะหมายถึงการไม่ได้เข้ารอบเลยก็ได้

ผลการแข่งขันใน UCL รอบแบ่งกลุ่มของลิเวอร์พูลถึงขั้นกระท่อนกระแท่น พวกเขาชนะสามจากหกเกม โดยเก็บชัยชนะที่บ้านได้ทั้งหมด ขณะที่เกมเยือนพวกเขาออกไปแพ้และทำประตูได้เพียงประตูเดียวจากจุดโทษ และกว่าจะเข้ารอบต้องรอจนถึงนัดสุดท้ายเล่นกับนาโปลีที่แอนด์ฟิลด์ด้วยประตูโทนจากเศาะลาห์ โดยพวกเขาเข้าเป็นอันดับสอง ตาม PSG และเขี่ย นาโปลีไปเล่นถ้วยยูโรป้าด้วยคะแนนเท่ากัน 9 แต้ม เอดทูเฮดเท่ากัน ผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่ยิงมากกว่า

นาทีท้ายที่แอนด์ฟิลด์ Arkadiusz Milik พลาดการทำประตูตีเสมอ ศูนย์หน้าของนาโปลีให้สัมภาษณ์ว่า

“นาโปลีใกล้มากกับการเขี่ยลิเวอร์พูลให้ตกรอบ น่าเสียดายที่พวกเราผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปไม่ได้ เป็นผมเองที่พลาดไม่สามารถสร้างความได้เปรียบจากโอกาสที่เกิดขึ้น”

แมตย์ที่ลิเวอร์พูลโดนวิจารณ์มากที่สุดก็คือการไปปราชัยต่อซเวซดานั่นเอง ทั้งที่พวกเขาเล่นในบ้านอย่างเหนือชั้น แต่กลับทำได้ไม่ดีเมื่อไปเยือน ทีมของเยอร์เก้นจึงถูกมองว่าคงไปไม่ไกลนักใน UCL และยิ่งจับสลากมาเจอบาเยิร์นมิวนิกในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อาจจะเป็นไปได้ว่า รอบสองของ UCL น่าจะเป็นเส้นทางสุดท้ายของลิเวอร์พูล เนวิลล์ให้ความเห็นว่าลิเวอร์พูลควรทิ้งถ้วยหูโตแล้วมุ่งที่พรีเมียร์อย่างเดียว แต่เยอร์เก้น ตล็อปป์และนักเตะไม่ได้คิดแบบนั้น

ผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม ชนะ PSG 3-2 (เหย้า) แพ้ นาโปลี 1-0 (เยือน) -ชนะเรดสตาร์ 4-0 (เหย้า) แพ้เรดสตาร์ 2-0 (เยือน) แพ้ PSG 2-1 (เยือน) ชนะนาโปโลี 1-0 (เหย้า)

ยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมันนี

การจับสลากในรอบน๊อคเอาท์ จะจับสลากแบ่งสายในคราวเดียว ดังนั้นถ้าผ่านเข้ารอบไปได้ก็จะมองเห็นคู่ต่อสู้ที่อยู่ข้างหน้า รวมถึงการแข่งนัดเหย้า เยือน ด้วยทำให้การวางแผนรับมือคู่แข่งได้ง่ายขึ้น แต่เท่าที่เรารู้ ชปล. เมื่อมาถึงรอบนี้ล้วนแต่เป็นของแข็งทั้งสิ้น การเล่นนัดแรกเยือน หรือนัดสองเหย้า บางครั้งก็ไม่ได้เปรียบมากมาย

รอบสิบหกทีมสุดท้ายลิเวอร์พูลก็ต้องจับมาเจอของแข็งอย่างบาเยิร์นมิวนิก แม้ต้นฤดูบาเยิร์นดูจะลุ่มๆ ดอนๆ แต่พอหลังคริสต์มาส พักเบรกหนาว ผลงานในลีกของบาเยิร์นดีขึ้น เริ่มไล่กวดดอร์ตมุนด์ขึ้นมาหายใจรดต้นคอ เมื่อลิเวอร์พูลต้องมาเจอยักษ์ใหญ่จากเยอรมันนี หลายสำนักคาดเดากันว่าเราน่าจะสิ้นสุดถ้วยใบนี้ที่รอบนี้ เนื่องจากผลงานที่ย่ำแย่ในรอบแบ่งกลุ่ม

เมื่อนัดแรกในบ้านมาถึง บาเยิร์นสามารถมายันเสมอโดยไร้สกอร์ได้ในแอนฟิลด์ ซึ่งนั่นเข้าทางของทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาเยิร์น การเล่นนัดที่สองที่ Allianz Arena ถือว่าได้เปรียบมหาศาล แต่ผลการแข่งขันเสมอ 0-0 ดูไม่แย่นัก แม้ลิเวอร์พูลทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียอะเวย์โกล์ ส่วนบาเยิร์นเองถ้าต้องการเข้ารอบก็ต้องเปิดเกมรุกแลกกับลิเวอร์พูลด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงสมเหตุสมผล และเข้าทางสำหรับทีมลิเวอร์พูลที่ไม่ค่อยชอบเจอทีมที่รับลึก ดังนั้นเกมนี้จึงมีแนวโน้มที่จะเปิดเกมบุกใส่กัน และในที่สุดลิเวอร์พูลที่ออกนำเร็วโดยมาเน่ บังคับให้บาเยิร์นต้องเร่งเครื่องเพื่อตีเสมอให้เร็วที่สุด ในที่สุดพวกเขาก็กดดันให้มาติปต้องเล่นบอลและทำเข้าประตูตัวเอง ผลเสมอกัน 1-1 ไม่เป็นผลดีกับบาเยิร์นด้วยกฎประตูทีมเยือน ถ้าลิเวอร์พูลไม่เสียเพิ่ม พวกเขาก็จะลอยลำเข้ารอบต่อไป แต่สุดท้ายก็เป็นลิเวอร์พูลที่ชนะไป 1-3 เยอร์เก้นวางแท็คติกมาอย่างดี แล้วพวกเขาก็ได้ประตูจากลูกเปิดมุมโดยเวอร์จิล และปิดท้ายตอกฝาโดยมาเน่ เข้ารอบแปดทีมสุดท้ายไปพบทีมแกร่งจากโปตุเกส

คู่แค้นเก่าปอร์โต้ ผู้ที่เฝ้ารอจะแก้มือ

ปอร์โต้กับลิเวอร์พูลพบกันในฤดูกาลก่อนในถ้วยเดียวกันรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรกลิเวอร์พูลฝังรอยคมเขี้ยวลงไปถึงห้าประตู ก่อนกลับมาเสมอที่บ้าน การเอาชนะปอร์โต้ที่สนาม Estadio do Dragao เป็นเหมือนการหยามเหยียด พวกเขาพร้อมเจอลิเวอร์พูลเพื่อถอนแค้น แล้วในที่สุดรอบแปดทีมสุดท้ายพวกเขาก็ได้เจอกันอีกจริงๆ แค้นที่ฝังรอยในอดีตรอไม่นาน ปอร์โต้รู้ว่าพวกเขามีดีแค่ไหน และจะไม่ประมาทเหมือนคราวที่ผ่านมาที่คิดจะฝังลิเวอร์พูลคาสนามเหย้า แต่กลับโดนขุนผลสามประสานเล่น แต่เมื่อแข่งขันกันจริงๆ ปอร์โต้ดูเหมือนจะแพ้ทางลูกทีมเยอร์เก้น พวกเขาเอาชนะปอร์โต้ก่อนที่บ้านสองประตู และกลับไปชนะที่ Estadio do Dragao อีก 1-4 แค้นถูกย้ำรอย บอบช้ำ แต่ต้องยอมจำนน ลิเวอร์พูลก้าวเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศอีกครั้ง

จากรอบแรกที่พวกเขาเล่นกันอย่างลุ่มๆ ดอนๆ แต่เมื่อถึงรอบน๊อคเอาท์ พวกเขาทำผลงานได้ดีขึ้นมาอย่างเด่นชัด ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ แมนยูฯ หรือบาร์เซโลนา ซึ่งนั่นไม่สำคัญ เกมยุโรปไม่เหมือนเกมในลีก เยอร์เก้นยังคงสถิติการเล่นแบบสองนัด คือยังไม่เคยแพ้ทั้งสองนัดในเกมเหย้าเยือนนั่นเอง

อ่านย้อนหลัง

A Season To Remember #01

A Season To Remember #02

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *