Memoria Covid 19

Memoria Covid 19 หรือ โคโรนาไวรัส โควิด 19 นำเสนอบันทึกเรื่องราวของผู้คนหลากหลายที่ต้องกักตัวเองอยู่ในบ้าน ช่วงเวลา พระราชบัญญัติภาวะฉถกเฉิน พวกเขาปฏิวัตตัวอย่างไรกันบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก กับภาวะโรคระบาดที่กัดกินคนทั้งโลก และทำร้ายคนทั้งประเทศ โดยที่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล
Memoria Covid 19

Memoria Covid 19 หรือ โคโรนาไวรัส โควิด 19 นำเสนอบันทึกเรื่องราวของผู้คนหลากหลายที่ต้องกักตัวเองอยู่ในบ้าน ช่วงเวลา พระราชบัญญัติภาวะฉถกเฉิน พวกเขาปฏิวัตตัวอย่างไรกันบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก กับภาวะโรคระบาดที่กัดกินคนทั้งโลก และทำร้ายคนทั้งประเทศ โดยที่รัฐบาลไม่เคยเหลียวแล

เสียงเพลง สายลม แสงไฟ อีกหนึ่งคืนที่หมดไป

โดย Phana Petch

ปกติเป็นคนไม่ค่อยใช่ชีวิตอยู่ในห้องยาวๆ ชอบไป third place ประจำ ช่วงนี้ไปไหนมาไหน หาอะไรกินอะไรลำบากหน่อย เพราะส่วนตัวไม่ชอบกินข้าวกล่อง อาหารสำเร็ตรูป แล้วห้องใหม่ที่อยู่ยังไม่มีครัว ความสนุกของการทำอาหารเลยโดนตัดไป ล่าสุดนโยบายออฟฟิศออกมาแล้ว ให้สลับกันหยุด แต่ออฟฟิศเปิดทุกวัน แผนกเราปกติก็ไม่ค่อยอยู่ออฟฟิศกันออฟฟิศเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้ ก็เลยเข้าออฟฟิศวันเว้นวัน ส่วนวันที่เหลือพยายามขุดตัวเองมาทำนู้นทำนี่ ซักผ้า จัดห้อง อ่านหนังสือ และบังคับตัวเองออกไปปั่นจักรยานทุกเย็น รีดเหงื่อออกบ้าง ขากลับก็แวะตลาดสดซื้อกับข้าวถุง สลัดมากิน จบไปหนึ่งวัน คืนไหนนึกครึ้มๆ ก้ลงไปหาน้ำแข็งมาใส่แก้ว เทเหล้า ตบโซดา นานมากแล้วที่ไม่ได้กินเหล้าที่ห้องตัวเอง นั่งนิ่งๆ อยู่กับอินเตอร์เนตโลกเสมือน เสียงเพลง สายลม แสงไฟ แล้วก็หมดไปอีกหนึ่งคืน – ถามว่าเราทนกับความโดดเดี่ยวได้ไหม เราว่าน่าจะดีลกับมันได้พอตัวอยู่ แต่กับความเบื่อหน่ายนี่แหละ ถ้าเด็กกว่านี้คงไม่คิดอะไร มีเนต มีคอม หาเกมส์ติด ก้คงหมกอยู่ได้เป็นเดือนๆ – กลับกันเราไม่ได้รู้สึกถึงความช้าของเวลาที่ผ่านไป เรารู้สึกว่าเวลามันหมุนเร็วเหลือเกิน แล้วเราก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรกับมัน ไร้แก่นสารสิ้นดี

Memoria Covid 19

ภาระบางอย่างในชีวิต

โดย Santipon Yuangyai

คนรักกลับไปเยี่ยมบ้านตั้งแต่ก่อนประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ผมเก็บตัวเขียนหนังสืออยู่กับแมวอีกแปดตัวที่บ้าน

บ้านหนังนี้เป็นบ้านเช่า เช้าๆ หรือบ่ายคล้อยจะมีนักเลี้ยงนกมาแขวนกรงไว้กับตะขอเหล็กหน้าบ้านเช่า ผมเคยสังเกตว่าบ้านเช่าแถบนี้มีตะขอสำหรับแขวนกรงนกแทบทุกหลัง

นักเลี้ยงนกคือเพื่อนบ้านข้างๆ แต่ผมไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขารู้เรื่อง คนแถบนี้พูดมลายูเป็นภาษาแม่ และผมหวาดกลัวที่จะสื่อสารภาษาไทยกับคนแปลกหน้า เคยมีไม่น้อยกว่าสามครั้งที่ผมถูกมองแปลกๆ เมื่อเขาเหล่านั่นรับรู้ว่าผมไม่ใช่คนมลายู

ผมเป็นคนสงขลา เพราะภาระบางอย่างจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ปัตตานี ท่ามกลางผู้คนที่พูดอีกภาษา หลังคนรักกลับบ้าน ผมจึงมีแต่แมวเป็นเพื่อนคุย และเวลาว่างที่เหลือผมใช้ไปกับการทำงานเขียน เสียงนกเป็นสิ่งรบกวนการทำงานอย่างมาก แต่ก็ไม่เคยมากเท่าวันนี้ นั่นเพราะเพิ่งเมื่อวานนี้เองที่โน้ตบุ๊คเครื่องเดียวที่มีต้องส่งร้านซ่อมประเมินราคาค่าซ่อมแซมอย่างช่วยไม่ได้ มันเก่ามากแล้ว เป็นเครื่องมือสอง ผมซื้อไว้ใช้ทำงานเขียนโดยเฉพาะ งานเขียนช่วยบรรเทาความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ผมกลายเป็นบุคคลว่างงานอย่างสมบูรณ์แบบ

ที่ปัตตานี ผมรับงานทำของชำร่วย การ์ดงานแต่ง และสมุดบันทึกแฮนเมดขายเป็นรายได้เสริม แต่การมาถึงของโควิดทำให้ออเดอร์ทั้งหมดถูกลูกค้าสั่งชะลอไปไม่มีกำหนด ที่จริงนั่นคือช่วงเวลาที่ผมใฝ่ฝัน ได้หยุดอยู่บ้านทำงานเขียน ทว่าเมื่อไม่มีโน้ตบุ๊ค ชีวิตแทบไร้ความหมาย

การอยู่ท่ามกลางคนที่พูดอีกภาษา ไม่มีงานให้ทำเพราะพิษโรคระบาด ซ้ำงานเขียนก็ต้องหยุดชะงักไป สิ่งที่หลงเหลือตอนนี้มีแตากองหนังสือที่สะสมไว้เท่านั้น

ผมกำลังอ่าน “ดวงตาสีฟ้าสุดฟ้า” งานแปลของโทนี มอริสัน ตอนที่ร้านซ่อมโน้ตบุ๊คโทรศัพท์ มาแจ้งราคาค่าซ่อม เบ็ดเสร็จ 3000 บาท ตอนแรกผมภาวนาขอให้ไม่มีอะไรเสียหายมาก แต่กลายเป็นว่าต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด ราคานี้ในยามปกติก็อาจเรียกว่าปกติ แต่ในช่วงที่ขาดรายรับอย่างนี้ การหาค่าซ่อมแซมกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง

ผมมองกองดองหนังสือของตัวเอง อาจต้องกัดฟันขายต่อเป็นหนังสือมือสอง แต่สถานการณ์ แบบนี้จะมีคนซื้อหรือเปล่า

ผมคงต้องรอคนรักกลับมาจากต่างจังหวัด แต่เธอจะเดินทางเข้าเมืองได้หรือเปล่า ล่าสุดปัตตานีประกาศปิดเมือง เรื่องของเรื่องคือกลุ่มนักเผยแผ่ศาสนาในหมู่บ้านแถบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังตระเวนไปตามงานศาสนาที่ต่างประเทศ พวกเขาบอกว่าพระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าใครจะตายตอนไหน หากพระองค์ไม่ประสงค์ก็ไม่ตาย นั่นก็ใช่ แต่พระเจ้าก็สั่งให้เราดูแลตัวเองในช่วงเกิดโรคระบาดและห้ามเดินทางไปยังเมืองที่เกิดโรคหรือเดินทางออกจากเมืองที่เกิดโรค พวกนี้ทำให้เชื้อโรคเกินควบคุมได้อีก

ผู้คนที่นี่เชื่อผู้นำศาสนามากกว่าความตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยี่หระกับการป้องกันตัว เมื่อวานซืนผมสวมหน้ากากออกไปซื้อกับข้าว ได้ยินเด็กๆ ที่เล่นอยู่ข้างถนนตะโกนด่าเป็นภาษาท้องถิ่น แม้ผมจะฟังภาษามลายูไม่ออก แต่ผมรู้จักคำด่าเป็นอย่างดี ดูเหมือนคนที่นี่จะมองว่าผมโง่และกลัวตาย

วันนี้รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนรับเงินชดเชย ผมไม่ได้สนใจมากนักในตอนแรก แต่ตอนนี้ผมกำลังอยากได้เงินจำนวนนั้นมากอย่างที่สุด

covid memorial jan 19

ความโดดเดี่ยวที่รัก

Sakolchanok Puenpong

#ระยะที่1โควิดและความโดดเดี่ยวที่รัก

ระยะแรกๆ โควิดไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย

ผมแยกตัวจากผู้คนมานานมากแล้ว

ผมชอบความอิสระ ความสงบ และความเป็นตัวของตัวเอง

ความโดดเดี่ยวให้สิ่งเหล่านี้กับผมได้

มันจึงเป็นเป็นดั่งที่รักและคือทุกสิ่งในชีวิต

และผมจะปกป้องมันไว้ให้ได้มากที่สุด

#ระยะที่2หนังสือคืออาวุธปกป้องความโดดเดี่ยว

ผมทำงานออกแบบหนังสืออยู่ที่บ้านมาสิบกว่าปีแล้ว

ผมทำงานโดยไม่ต้องพบเจอคนจ้างงานเลย

บรีฟงาน แก้งาน ส่งงาน หรือเบิกเงิน เราทำออนไลน์ทั้งหมด

ผมทำงานในห้องแคบๆ ที่มีหนังสือกองสูงเกือบเต็มผนังสี่ด้าน

ที่นอนถูกกำหนดพื้นที่ด้วยกำแพงหนังสือก่อเป็นช่องแคบๆ

ดูคล้ายโลงศพที่ก่อจากอิฐหนังสือ

ในโลงมีเพียงหมอนแฟ่บๆกับพื้นปูนแข็งๆ

ผมชอบนอนในโลงศพหนังสือมากครับ

ผมออกแบบหนังสือเพื่อหาเงินซื้อหนังสือ

มาก่อผนังโลงศพในห้องหนังสือให้แข็งแรงมากขึ้น

ทำให้ผมจมอยู่ในความโดดเดี่ยวท่ามกลางกองหนังสือที่รักได้อย่างมีความสุข

#ระยะที่3โควิดทำลายอิฐกั้นความโดดเดี่ยวทีละน้อย

โควิดเริ่มขโมยงานออกแบบหนังสือของผมไปจนเกือบหมด

ผมต้องขายอิฐหนังสือของผมทีละก้อนๆ เพื่อให้อยู่รอด

ผนังโลงศพกั้นความโดดเดี่ยวหายไปเรื่อยๆ และเริ่มสั่นคลอน

#ระยะสุดท้ายอิฐ5ก้อนแห่งความโดดเดี่ยว

จนเมื่อผมได้มาพบอิฐโดดเดี่ยวทั้ง 5 ในโพสต์นี้

มันพูดกับผมว่า

“ไม่มีสิ่งใดพรากความโดดเดี่ยวอันเป็นที่รักของเธอไปได้หรอกนะ

ถึงแม้โควิดจะเอางาน เอาเงิน เอาหนังสือ และเอาทุกสิ่งไป

แต่ความโดดเดี่ยวยังคงอยู่เสมอในหนังสือแต่ละเล่ม

เหมือนหนังสือ 5 เล่มแห่งความโดดเดี่ยวอย่างพวกเรา”

ผมหวังว่า อิฐ 5 ก้อนแห่งความโดดเดี่ยวจะเป็นเพื่อนข้างโลงที่น่ารัก

ถึงจุดนี้ชักกลัวจะไม่โดดเดี่ยวแล้วสิ

โควิด

แค่แวะเข้ามาหาที่สงบๆ สักที่

โดย Sarawut Ginggarnjon

ดูเหมือนว่าวันนี้เขาก็อยู่บ้านอีกแล้ว สามวันติดกันแล้วสินะ ไม่ไปทำงานทำการหรือไงกัน ไม่ใช่แล้ว….มีบางอย่างไม่ปกติ บางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับการที่มีคนมาตระเวนพ่นของเหลวๆส่งเสียงดังน่ารำคาญ วันนี้ขอผมหลบเข้าไปหาที่หลับสักงีบเถอะนะพ่อคุณ

บ้านหลังนี้เป็นที่ๆ ผมโปรดปราน ตอนเช้าๆผมมักจะแวะเวียนมาดักรอผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหัวเขายุ่งๆอยู่ตลอดเวลา ท่าทางของเขาทำให้ผมนึกถึงแมวกักขฬะตัวหนึ่งชื่อไอ้ดำ มันกับพรรคพวกของมันอาศัยอยู่ท้ายซอย ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าพวกมันซักเท่าไหร่ ทุกๆ เช้าที่ผมมาเฝ้ารอ หรือจะให้ตรงหน่อยต้องใช้คำว่าป้วนเปี้ยน หากเขาเดินออกมาเห็นผมจะย้อนกลับเข้าไปในบ้าน และจะมีหัวปลาไม่ก็เศษเนื้ออะไรซักอย่างติดไม้ติดมือออกมา เขาจะวางมันด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ นี่ผมไปทำให้เขาต้องอดข้าวหรือเปล่า ช่างเถอะ,ไม่ใช่ธุระของผมซักหน่อย ผมจะแกล้งยอมให้เขาเข้ามาประชิดเสมอระหว่างกำลังกิน ถือว่าเป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆสำหรับอาหารก็แล้วกัน ปกติผมวิ่งเร็วมากนะ ไม่ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดหรอกนะครับ แม้แต่ไอ้ดำกับพวกลูกกระจ๊อกของมันก็ไล่กวดผมไม่เคยทัน

ผมค่อยๆ ย่องแทรกตัวผ่านประตูที่ไร้การป้องกัน เขาชำเลืองมาทางผมแว๊บนึง ก่อนจะพูดออกมา “วันนี้ไม่มีของกินให้หรอกนะ” เขาสังเกตุเห็นตีนแมวอย่างผมได้ยังไง ผมเผลอถามออกไปแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจ ทั้งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่แท้ๆ ผมคลายความระแวดระวังลง และเดินตรงเข้าไปที่ที่เขานั่งคร่ำเคร่งอยู่กับตัวอักษรที่ผมไม่เข้าใจ จะว่าไปมนุษย์นี่ก็แปลก….หมกหมุ่นอยู่กับของน่าเบื่อพรรค์นั้นอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่เห็นจะอิ่มท้องตรงไหน

เสียงเครื่องยนต์ในมือพวกชุดขาวส่งเสียงดังคำรามใกล้เข้ามา สัญชาตญาณเตือนผมว่าต้องรีบหาที่ซ่อน ทำไมนายไม่ลุกไปปิดประตูเล่า! “เงียบหน่อยได้ไหม ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกต้องการอะไร” เขาพูดทั้งที่ก้มหน้าอยู่ หูหนวกรึไง, เสียงดังออกปานนั้น “โทษทีวะไอ้เหมียว บังเอิญฉันไม่มีวุ้นแปลภาษาแมวเสียด้วย” อย่ามาเรียกผมว่าไอ้เหมียวนะ ผมรู้สึกเคืองนิดหน่อยแต่ไม่มีเวลามาใส่ใจ ไม่รู้ด้วยแล้ว! ผมออกตัววิ่งสุดกำลัง

“นั่นมันห้องนอนของฉันนะ ห้ามแกขึ้นไป” เขาหันมาดุผมด้วยเสียงเข้มๆ “ลงมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นฉันจะจับแกโยนออกไป” เขาไม่ยอมลดราวาศอก ชิ..

แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นได้เสียที สาเหตุที่ผมต้องลี้ภัยเข้ามาหลบในนี้เป็นเพราะคนพวกนั้นต่างหากเล่า เขาเดินเข้ามาสอดมือลงใต้รักแร้และหิ้วผมลงจากชานบันไดราวกับหิ้วตะกร้าผ้าหนักๆ ก่อนจะหย่อนผมลงหน้าทีวีสีดำสนิท “นอนเฉยๆ ตรงนี้แหละ” เขากล่าว “อยากไปเมื่อไหร่ก็ตามสบาย นั่นประตู….ฉันแง้มเอาไว้ให้แล้ว” เขาพูดพลางชี้ไม้ชี้มือเหมือนกลัวว่าผมจะไม่รู้ว่าบานสี่เหลี่ยมนั่นเรียกว่าประตู

เขากลับไปก้มหน้างุดลงกับหนังสืออีกครั้ง ยิ้มเยาะขึ้นเป็นบางคราว ก่อนที่จะทำสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง เขาไม่สนแล้วว่าผมจะอยู่ตรงนี้หรือไม่ ไม่สนว่าใครจะทำอะไร ไม่สนแม้โลกกำลังจะแตกสลาย ความโดดเดี่ยว ผมกำลังมองก้อนเนื้อแห่งความโดดเดี่ยว บางทีเขาน่าจะเกิดเป็นแมวเหมือนอย่างผม เขาน่าจะมีความสุขกว่าที่เขาแสดงให้เห็นว่ามี แต่นั่นไม่ใช่กงการอะไรของผม ผมแค่แวะเข้ามาหาที่สงบๆ สำหรับนอนกลางวัน….มันก็เท่านั้น zzZZZ

Memoria Covid 19

10 ปีแห่งความเหงา หรือ 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว

โดย Pichaya Anantarasate

ไม่ใช่ครั้งแรกที่กักตัวเอง นานมาแล้วก็เคยกักตัวเองไม่เพียงแค่เฉพาะในบ้าน แต่หมายถึงอยู่ในห้อง ออกจากประตูเฉพาะเวลาจำเป็น ซึ่งหมายถึงการไปเข้าห้องน้ำและการกินข้าว นั่นเป็นช่วงเวลาของการอกหัก ความรู้สึกโดดเดี่ยวกัดกินหัวใจ อุปโลกน์ตัวเองดั่งเป็นเจ้าชายแห่งความอ้างว้าง

.กับคราวนี้มันต่างกัน สิ่งมีเกิดขึ้นพร้อมกับไวรัสโควิท มันคือการพัฒนาไปสู่การเป็นไวรัสแห่งความโดดเดี่ยว นำพาคนทั้งโลกก้าวไปสู่ความสันโดษ การมีระยะห่างเกิน 2 เมตร การต้องอยู่กับตัวเองนานเกิน 24 ชั่วโมง ผมคิดอยู่ในหัวตั้งแต่วันที่สามของการกักตัวว่า ถ้าไวรัสมีความเป็นกวี การที่ทำให้เราพร้อมใจกันสร้างความสันโดษของตัวเอง การมีระยะห่างให้กับทุกสิ่ง ทั้งหมดอาจเป็น กวีนิพนธ์ที่ประพันธ์โดยไวรัส

และนับจากอีก ไม่ว่าจะเป็น 10 ปีแห่งความเหงา หรือ 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว ไวรัสได้เปลี่ยนนิยามความสันโดษของมนุษย์ไปตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

.นี่คือสิ่งที่ตลอด 6 วันที่ผ่านมา บนเตียงนอนเตียงเดิม หน้าต่างที่มีแสงตกกระทบในมุมองศาเดิม มันทำให้ผมคิดได้อย่างที่ไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน ท่ามกลางความงี่เง่า ท่ามกลางความระยำ และแน่นอน ท่ามกลางความคิดที่หมุนวนอยู่ในหัวของตัวเอง

27 มีนาคม 2020 บันทีกในวันที่วิญญาณภายในสงบที่สุด

อ่านบทความเพิ่มเติม: covid 19

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *