Movie Review: True Detective เป็นซีรีส์ในแนวสืบสวนสอบสวน หนังคู่หูนักสืบ คนหนึ่งอายุมากกว่า คนหนุ่มมุทะลุ กัดไม่ปล่อย พวกเขากำลังตามหาปริศนาที่ทำให้ชีวิตของตนเปลี่ยนไปตลอดกาล หรืออาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีสิ่งใดหวนกลับ
มนุษย์นิยมท่ามกลางการแตกสลาย
True Detective Season 1 เป็นภาพยนตร์ซีรีส์ที่ได้รับการกล่าวขานถึงไม่น้อยในหมู่ผู้ชมและนักวิจารณ์ หนังดึงดูดด้วยการที่ดาราจอเงินลงมาแสดงเป็นตัวนำ คนแรกคือ Woody Harrelson รับบทเป็น ตำรวจแผนกสืบสวนนาม มาร์ตี้ ฮาร์ต และ Matthew McConaughey แสดงเป็นตำรวจแผนกสืบสวนคู่หูของมาร์ตี้นาม รัสต์ โคห์ล หากดูผิวเผินเหมือนหนังคู่หูตำรวจพยายามไขปริศนาฆาตกรรมลึกลับ ซึ่งผู้ชมสามารถคาดเดาพล๊อตของหนังได้ไม่ยาก ทว่า True Detective ใช้วิธีการเขียนบทผ่านการเล่าเรื่องจากปากคำ ย้อนเหตุการณ์จากปัจจุบันลงไปหาอดีต ก่อนจะขมวดปมในตอนจบ ซึ่งการพลิกบทเพียงเล็กน้อยทำให้หนังสืบสวนเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจเป็นอย่างมาก
มาร์ตี้เป็นตำรวจอาวุโส เขาอยู่ในอาชีพมานาน ชีวิตครอบครัวดูเหมือนจะลงตัวในแบบคนชั้นกลางอเมริกัน ส่วนรัสต์เป็นตำรวจที่เอาจริงเอาจังกับงาน เป็นคนช่างสังเกต มีเหตุผลส่วนตัว ชีวิตครอบครัวของเขาล้มเหลว เขาจึงไม่พยายามที่จะมีครอบครัวใหม่ บ้านที่เขาอาศัยจึงแทบไม่มีเครื่องนอน ของใช้ในครัว ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ บ้านว่างเปล่า ที่นอนไร้เตียง
รัสต์มีชีวิตด้วยการเดินผ่านความขื่นขมของชีวิต ลูกสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มีผลทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป การมองโลกของรัสต์จึงแตกต่างจากตำรวจอย่างมาร์ตี้เป็นอย่างมาก ความขัดแย้งของคนทั้งสองเป็นส่วนที่ดีมากของหนัง ผู้อ่านอาจจะคุ้นเคยความขัดแย้งในแบบคู่หูมามากมายในหนัง แต่สิ่งที่ True Detective ทำออกมาได้น่าสนใจตรงที่แนวความคิดของทั้งสองแทบจะไม่ลงรอยกันเลย คนหนึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษย์นิยมที่ทำลายทุกกฎเพื่อตัวเอง (ทว่าก็ทำลายคนอื่นไปทีละน้อย) ส่วนอีกคนเป็นพวกหัวก้าวหน้าที่ทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ (จนถึงที่สุดคนรอบข้างก็ถูกทำลายจนไม่เหลือ)
หนังเริ่มเรื่องด้วยการย้อนอดีตไปเมื่อปี 1995 เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวในรูปแบบลัทธิบูชายัญ ศพถูกจัดวางระหว่างถนนในไร่ ตัวศพสวมเขากวาง กิ่งไม้ทำเป็นเครื่องบรรณาการถูกแขวนเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ การจัดท่าของผู้ตายเหมือนกำลังทำพิธีทางศาสนา สองนักสืบต้องเร่งควานหาผู้เกี่ยวข้องและฆาตกร ซึ่งสิ่งที่เขาค้นพบในที่เกิดเหตุแทบจะคลำทางไปสู่ความจริงไม่ได้เลยว่าใครทำ
จากนั้นตัวเรื่องได้ตัดสลับกลับมายังปี 2012 มาร์ตี้ กับ รัสต์ ถูก FBI สอบสวนเหตุฆาตกรรมที่ทั้งสองคลี่คลายกันในอดีต หนังเล่าเรื่องสลับระหว่างคนสองคน จากนั้นก็ย้อนภาพลงไปในอดีต ที่น่าสนใจมากก็คือคำให้การของรัสต์นั้นเป็นบทบรรยายในแบบนิยายแนวกระแสสำนึก (stream of consciousness) ซึ่งเป็นอะไรที่งดงามและดีมาก อาจจะถึงดีที่สุดในซีรี่ส์นี้เลยทีเดียว เพราะบทบรรยายในแนวกระแสสำนึก ช่วยให้ผู้เขียนบทสามารถอธิบายความรู้สึกของตัวละครจากด้านในได้ลึกกว่าตัวภาพ มันเป็นการบอกสภาวะทางอารมณ์ เหมือนบทบรรยายที่ถูกส่งออกมาจากสมอง เล่าผ่านปากรัสต์ที่มีมุมมองต่อสังคม และ โลกที่ผิดแผก เขาเป็นคนที่มีความสามารถในการสืบสวน เขามักจะไม่ละเลยกับหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ เขาเข้าใกล้ตัวฆาตกร แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าที่เขาไม่เคยปล่อยให้สิ่งที่ค้างคาใจไร้คำตอบนอนอยู่นิ่งเฉยในภาวะหลับสนิท เขาปลุกสิ่งที่เย้ายวนให้เดินต่อไป แม้จะใช้ช่วงเวลาทั้งชีวิตค้นหา
อย่างไรก็ดี มาร์ตี้พบว่าตัวเขาไม่ได้เป็นครอบครัวในแบบอเมริกันดรีมอีกต่อไป เขามีชู้รัก หึงหวงชู้รักจนไม่อาจห้ามการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหา มาร์ตี้มีลักษณ์ผู้ชายเป็นใหญ่ เขาเป็นเหมือนฝ่ายขวา ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของผู้อื่น สิ่งที่พยายามจะทำคือกอบกู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ หลังไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วงแรกได้แล้ว มาร์ตี้กับรัสต์เริ่มปริแตกรอยร้าวของกันและกัน จนทั้งสองต้องแยกกันเดิน รัสต์หายไปโดยไร้ร่องรอย ส่วนมาร์ตี้ทนความเจ็บปวดในเรื่องครอบครัวตัวเองแตกแยกไม่ได้ ทั้งคู่ลาออกจากงานตำรวจ จนกระทั่งมีเหตุฆาตกรรมในรูปแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีก
สรุป
True Detective Season 1 เป็นหนังซีรีส์ที่เต็มไปด้วยภาวะทางอารมณ์ที่สร้างความทรมานให้ผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม หนังไปไกลจากฉากหน้าของหนังฆาตกรรมต่อเนื่อง หรือเรื่องลึกลับที่ต้องการการไขปริศนา ตำรวจทั้งสองคนนี้ฉายภาพความเป็นมนุษย์อย่างครบถ้วน คนหนึ่งแข็งกร้าวไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง อีกคนแตกร้าวภายในนับครั้งไม่ถ้วน และดิ่งจมไปกับความเศร้าอันหดหู่ ตัวหนังแสดงให้เห็นถึงภาวะมนุษย์ที่อ่อนแอ ลัทธิความเชื่อกัดกินผู้คนที่เปลี่ยวเปล่า ยึดเอาความเจ็บปวดของมนุษย์ด้วยกันเป็นทางออก
สำหรับผู้เขียนแล้ว True Detective ในฤดูกาลที่หนึ่งนี้ เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง รายละเอียดของหนังเล็กๆ น้อยๆ สร้างความอิ่มเอมให้กับผู้ชมได้อย่างสบูรณ์