ในงานวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็น นวนิยาย เรื่องสั้น ละคร หรือ ภาพยนตร์ การผูกปม Rising Action เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจาก จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ (inciting incident) การผูกปมเป็นช่วงเวลาที่เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวละคร สถานการณ์ การสร้างความขัดแย้ง ทั้งภายในและภายนอก อุปสรรคที่ต้องเผชิญหน้าและแก้ปัญหา ก่อนจะนำไปสู่ จุดไคลแม็กซ์ การผูกปมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของพล็อตที่ขาดไม่ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การผูกปมเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเรื่องราว คุณจะไม่สามารถเดินตามโครงสร้างที่คิดเอาไว้ถ้าปราศจากการผูกปม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าคุณอาจจะคุ้นเคยกับองค์ประกอบสำคัญของนวนิยายมาก่อน และเรียนรู้วิธีสร้างเรื่องราวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะสามารถขจัดปัญหาในการเขียนนวนิยายอย่างที่คุณคาดหวัง
Table of Contents
การผูกปม คืออะไร (What is Rising Action)
อันดับแรกเรามาทบทวนโครงสร้างของนวนิยายกันก่อน ว่าการผูกปมอยู่ในช่วงไหนของนวนิยายที่คุณเขียน
- การเปิดเรื่อง (Exposition)
- จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ (Inciting Incident)
- การผูกปม (Rising Action)
- จุดวิกฤติ (Crisis)
- เหตุการณ์ตึงเครียด (Climax)
- การคลี่คลาย (Falling action)
- การปิดเรื่อง (Denouement)
การผูกปม คืออะไร มันคือช่วงเวลาที่ตัวละครเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ท้าทาย การผูกปมจะทำให้นวนิยายของคุณเคลื่อนไปข้างหน้าหลังจากจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ซีรีส์เรื่อง Dark ใน Netflix บทปูเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครหลักในช่วงแรก จากนั้นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นมันเมื่อมิเคลหายไป หลังจากตามพวกพี่ๆ ไปที่ถ้ำวิลเดล ดังนั้นตัวเรื่องทั้งหมดหลังจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ คือการผูกปมของเรื่องทั้งหมด มิเคลหายไปได้อย่างไร เป็นหรือตาย โดนลักพาตัว การออกตามหา เรื่องราวต่างๆ ได้เกิดขึ้นหลังจากนี้อีกมากมาย ทั้งโลกปัจจุบันและโลกคู่ขนานที่อยู่ในอดีต
จากนั้นเรามาดูว่าเรื่องราวที่เราเขียนเป็นเรื่องราวประเภทไหน การผูกปมนั้นมีเงื่อนไขว่า เรื่องราวจะต้องมีรูปแบบที่เข้มข้น เพื่อนำเรื่องราวที่เข้มข้นนั้นมุ่งไปสู่การแก้ปม หรือไขปัญหานั้นๆ ให้บรรลุ นั่นเป็นเหมือนการให้คำสัญญากับผู้อ่านว่านวนิยายหรือเรื่องราวทั้งหลายจะเต็มไปด้วยปมมากมาย และปมเหล่านั้นจะได้รับการแก้ การสร้างปมเหล่านี้เหมือนสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนอ่าน หรือสร้างความคาดหวังว่าปมต่างๆ ที่สร้างขึ้นจะได้รับการแก้ไข หรือเฉลยในตอนจบ
ในนวนิยายสืบสวนสอบสวน หรือเรื่องลึกลับ การแก้มปมคือนักสืบไขปริศนาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน นิยายโรแมนติก ตัวละครหลักต่างต้องตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ถ้าเรื่องลึกลับไม่มีตัวเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เช่น ผู้ต้องสงสัยมีแค่หนึ่งหรือสองคน การแก้ปริศนาเป็นไปอย่างง่ายดาย หรือในนิยายโรแมนติกมีเรื่องรักน้ำเน่าน้อยเกินไป เช่น ตัวเอกผิดใจกันสองครั้งก็กลับมาคืนดีกันแล้ว หากคุณสร้างปมที่ไม่ซับซ้อนผู้อ่านไม่สามารถคาดหวังกับเรื่องที่อ่านได้ ผลที่ตามมานำไปสู่การตลาดที่แย่ของหนังสือที่คุณเขียน
คุณไม่สามารถจะบอกกับคนอ่านได้ว่านวนิยายของคุณเขียนถึงเรื่องอะไร คาดหวังกับเรื่องรักโรแมนติกได้แค่ไหน หรือนิยายสืบสวนที่ไขปมธรรมดา หนังสือแบบนี้ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยากอ่าน ก่อนที่จะเริ่มเขียนหนังสือจำเป็นที่ต้องรู้ถึงกลุ่มเป้าหมายนักอ่าน เรียนรู้สิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อไม่ทำให้รูปแบบงานเขียนของคุณออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งกับงานและการตลาดของสำนักพิมพ์
สร้างความคาดหวังให้ผู้อ่านด้วย การผูกปม Rising Action พร้อมกับตัวอย่าง
ตอนนี้เรามาดูตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นวิธีการผูกปมปัญหาของเรื่องราวในประเภทต่างๆ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เรื่องหนึ่งเป็นหนังรักโรแมนติกคลาสสิก ส่วนอีกเรื่องเป็นหนังไซไฟ
- Nothing Hill ตัวอย่างแรกของเรา ความคาดหวังในเรื่องนี้ ผู้ชมมีสมมติฐานที่เราต่างรู้กันดีว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักโรแมนติกอย่างไม่ต้องสงสัย บทสร้างให้ตัวเอกสองตัวมีความแตกต่างกันสูง ฝ่ายชายเป็นคนอังกฤษเจ้าของร้านหนังสือเดินทาง ใช้ชีวิตแสนธรรมดา อาจจะค่อนไปทางน่าเบื่อ ยกเว้นร้านหนังสือของเขาอาจจะทำให้หลายคนมองเห็นภาพแสนโรแมนติก หรือตกหลุมรักกันในร้านหนังสือ แล้วร้านหนังสือของเขาเริ่มเข้าสู่วิกฟติทางด้านการเงิน ส่วนฝ่ายหญิงซึ่งเป็นนักแสดงสาวชื่อดังชาวอเมริกัน กำลังเรืองโรจน์ในฐานะนักแสดงยอดนิยม เธอบังเอิญมาพบฝ่ายชายที่ร้านหนังสือ และเกิดอุบัติเหตุน้ำส้มหกใส่เสื้อ จนทำให้ทั้งสองต้องการค้นพบอะไรที่ขาดหายไปจากชีวิต
- The Matrix หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย คีนู รีฟ พระเอกแนวแอคชันไซไฟชื่อดัง เรื่องราวร่วมสมัยนี้มีเดิมพันสูงขึ้นมาหน่อยเพราะตัวเอกอย่างนีโอผู้มีอาชีพโปรแกรมเมอร์ธรรมดาในโลกแมกทริกซ์ กลายมาเป็นผู้ปลดปล่อยให้กับมนุษยชาติ การปฏิวัติของนีโอมีความหมายต่อมนุษย์ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมา มีประโยชน์เพียงเพื่อทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่ให้กับเครื่องจักรอนาคต แต่ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้ปลดปล่อย แน่นอนว่าเขาต้องเลือกยาเม็ดสีให้ถูกเสียก่อน
ตัวอย่างทั้งสองเรื่องล้วนสร้างความคาดหวังให้กับผู้อ่าน ตามประเภทงาน (Genres) เรื่องหนึ่งเป็นแนวทางรักโรแมนติก อีกเรื่องหนึ่งแนวไซไฟ แม้ใน Sub Genres ของเดอะแมกทริกซ์ มีเรื่องรักระหว่างนีโอกับทรินิตี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเรื่องรักโรแมนติกอย่าง Nothing Hill มีเรื่องราวดรามา ผสมแนวตลกโรแมนติกสอดแทรกอยู่เช่นกัน แต่ทั้งนี้แนวหลักของเรื่องทั้งสองยังคงสอดคล้องต่อความคาดหวังของผู้ชม ดังนั้นการผูกปมของเรื่องผ่านประเภทงานเขียนจึงมีความสำคัญในระดับต้นๆ โดยไม่สามารถมองข้ามไปได้ และการผูกผมในงานแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน วิะีการดำเนินเรื่องก้ต่างกันออกไปเช่นกัน
พัฒนา ความขัดแย้งภายใน และภายนอก ด้วย การผูกปม Rising Action
ในการพัฒนาเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นงานเขียน เรื่องสั้น นวนิยาย ละคร และภาพยนตร์ พื้นฐานในการสร้างตัวละครขึ้นมาคือ “ความขัดแย้ง” ทั้งภายใน และภายนอก ตัวละครต้องต่อสู้กับสองความขัดแย้งนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในประเภทใด (Genres)
- ความขัดแย้งภายนอก เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ตัวละครบางตัวจะขัดขวางเพื่อไม่ให้ตัวเอกได้รับที่สิ่งที่พวกเขาต้องการ ความขัดแย้งนี้จะเกิดจากผู้อื่น อุปสรรคต่างๆ รวมถึงสิ่งที่ขัดขวาง ไม่ให้ตัวเอกทำสำเร็จ
- ความขัดแย้งภายใน ตัวเอกจะต้องต่อสู้กับตัวเองภายใน เช่น ความปรารถนา ความกลัว หรือแง่มุมที่เกิดจากสำนึกอื่นๆ หรือบางกรณี ตัวเอกไม่สามารถปรองดองต่อความคิดที่มีอิทธิพลสูงกว่าได้ ทั้งจากมุมมองด้านกว้างและด้านลึก รวมถึงการตอบสนองด้านความรู้สึกที่รูสึกผิดอยู่เสมอ
ลำดับการผูกปมจะช่วยให้การพัฒนาตัวละครแข็งแกร่งขึ้น โดยคุณสามารถเริ่มจากความขัดแย้งทั้งสองประเภทนี้ ที่สำคัญความขัดแย้งในแต่ละครั้งของเหตุการณ์ มันควรจะเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว เพื่อสร้างให้ปมนั้นมีอิทธิพลต่อตัวละครให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น
หากคุณกำลังเขียนนวนิยายเกี่ยวกับเพศสภาพ ตัวเอกของคุณเป็นเด็กผู้ชายที่ปรารถนาอยากเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่สามารถทำได้เพราะพ่อของเขาประกาศตัดพ่อลูก หากเขาอยากทำตามที่ตัวเองปรารถนา (ความขัดแย้งภายนอก) แม้แม่ที่รักเขาจะเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น แต่การที่เขากับพ่อมีปัญหาหนักหน่วง ทำให้เขาลังเล (ความขัดแย้งภายนอก) ขณะเดียวกันเพื่อนที่เขารักที่สุดดูเหมือนจะกลัวว่า ความเปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับเพื่อนจะเปลี่ยนสถานะไปจากเพื่อสนิทมาเป็นคู่รัก และกลุ่มเพื่อนที่เป็นเกย์เริ่มไม่เชื่อมั่นว่าเขาจะตัดสินใจชีวิตอย่างไรกันแน่ (ความขัดแย้งภายนอกเพิ่มขึ้น)
ขณะเดียวกัน ตัวเอกควรจะประสบปัญหาส่วนตัวบางอย่าง เพื่อเพิ่มความขัดแย้งภายใน ปมปัญหานี้จะขัดขวางทางที่เขาต้องการอย่างแรงกล้า คือการผ่าตัดแปลงเพศ บางทีเขาอาจทนทุกข์จากวิกฤตความเชื่อมั่น แต่ต้องเอาชนะมัน เพราะเชื่อในจิตญาณของตนเองอีกครั้ง (ความขัดแย้งภายใน) เขาอาจรู้สึกขัดแย้ง โดยการทำร้ายตัวเองด้วยการกินยาระงับประสาทเพราะนอนไม่หลับ และอยากจะยุติปัญหาความขัดแย้งกับคนในครอบครัว อยากให้แม่มีความสุข ในขณะเดียวกัน เขาต้องการก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น เพื่อบรรลุให้ความคิดที่ชัดเจนของตนเดินหน้าต่อ (ความขัดแย้งภายในเพิ่มขึ้น)
เช่นเดียวกับตัวละคร Clarice Starling เจ้าหน้าที่สืบสวน ใน The Silence of the Lambs ต้องเอาชนะความกลัวที่เธอไม่มีอำนาจมาเป็นเวลานานและจับฆาตกรต่อเนื่อง (ความขัดแย้งภายใน)
และแน่นอน ความขัดแย้งภายในที่ดีที่สุดจะส่งผลถึงความขัดแย้งภายนอก และในทางกลับกัน ยิ่งใช้เวลานานตัดสินใจแปลงเพศช้าเท่าใด ความมั่นใจที่ตัวเอกของคุณมีจะสูญเสียมันไปมากขึ้น เพื่อนทุกคนจะเชื่อมั่นในตัวเขาน้อยลง จากนั้นเขาจะยิ่งทำร้ายตัวเองมากขึ้นด้วยการกินยาเกินขนาด
ตัวอย่างความขัดแย้งภายในและภายนอก
- Nothing Hill วิลเลียม แทชเคอร์ เจ้าของร้านหนังสือเดินทางที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ บังเอิญมาพบกับ แอนนา สก็อตต์ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง ที่ร้านของเขา การพบกันโดยบังเอิญครั้งที่สองในไม่กี่นาที เขาทำน้ำส้มหกใส่เสื้อของเธอที่มุมถนน และเขาเสนอให้เธอไปเปลี่ยนชุดที่แฟลต ก่อนจากกันเธอจูบเขาอย่างฉับพลัน อาจจะเพราะคำพูดที่ว่า “เหมือนฝันไป” ความรักของคนทั้งสองก่อตัวช้าๆ หลังการจูบครั้งที่สองที่โรงแรมแถลงข่าว แอนนาเชิญวิลไปที่ห้องพัก แต่วิลขอตัวกลับก่อนอย่างเร่งรีบ เพราะแฟนหนุ่มของเธอมาลอนดอนโดยไม่บอกกล่าว (ภายนอก) แอนนาเดินทางกลับอเมริกาอย่างกระทันหัน (ภายนอก) หกเดือนผ่านไป วิลไม่สามารถลืมแอนนาได้ และไม่สนใจความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นที่เพื่อนๆ แนะนำ (ภายใน)
- The Matrix นีโอเลือกยาเม็ดสีแดง เขาหลุดออกมาจากการเป็นแหล่งพลังงานให้เครื่องจักร เมื่อกลับเข้าไปในโลกแมกทริกซ์เขาถูกสายลับชุดดำเฝ้าทำลายล้าง (ภายนอก) มีคนไม่เชื่อมั่นว่านีโอเป็นผู้ปลดปล่อยและขายเขาให้กับสายลับ (ภายนอก) นีโอไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอย่างไรเพื่อช่วยโลก (ภายใน)
ความขัดแย้งภายในและภายนอกสามารถซ้อนทับกันได้ใน การผูกปม
ตามธรรมชาติของนวนิยายหรือภาพยนตร์ องคก์แรกความขัดแย้งหลักจะเกิดขึ้น และมักจะผสมผสาน ทับซ้อน ระหว่างความขัดแย้งภายนอกและภายใน เช่น บรู๊ซ เวนย์ ในวัยเยาว์ พ่อแม่ของเขาถูกฆาตกรรม เขาต้องการเอาชนะความโศกเศร้า และความกลัว ด้วยการล้างแค้น ผ่านการผดุงความยุติธรรม ซึ่งความขัดแย้งหลักนี้กลายมาเป็นรากฐานของการผูกปมที่เพิ่มขึ้นไปทีละปม
ตัวอย่างความขัดแย้งหลักในตัวอย่างที่เราได้กล่าวมาแล้ว
- Nothing Hill วิลเลียม หลังจากแฟนหนีไปแต่งงานกับคนอื่น เขาก็ดหมือนจะเป็นโสด แอนนาอาจจะเป็นคนที่ใช่และเขาคิดว่าชอบเธอ ขณะเดียวกันเธอเองมีความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนใช่ แต่อุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ชีวิตส่วนตัว ความสัมพันธ์ของเขากับเธอเป็นเหมือนเทพนิยาย ซึ่งวิลเข้าใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาคิดว่าความรักระหว่างเขากับอันนาคงไม่มีวันเกิดขึ้น
- The Matrix จากแฮกเกอร์ในโลกแมกทริกซ์ นีโอต้องกลายมาเป็นผู้ปลดปล่อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร นอกจากการตามหาชะตากรรม ขณะที่มอร์เฟียซฝากความหวังไว้ในตัวเขา รวมถึงทรินิตี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากการเป็นผู้ปลดปล่อย
ทดสอบตัวเอกด้วยอุปสรรคต่างๆ ด้วย การผูกปม Rising Action
สิ่งกีดขวางคืออุปสรรค มันคือวิกฤติ หรือสถานการณ์ที่ถูกสร้างให้เป็นรูปธรรม เพื่อทำให้ตัวเอกของเราไม่สามารถไปสู่เป้าหมายของตัวเอง ตัวอย่างเช่นพวกเขาสูญเสียงานและอาชีพจากการบีบบังคับของเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาแพ้ในการแข่งขันกีฬา หรือพบว่าพวกเขากำลังขับรถหลงทางในเมืองที่ไม่เคยไป ในขณะเดียวกันเวลาไม่เป็นใจกับพวกเขาเพราะมันเดินเร็วขึ้น และที่แย่ไปกว่านั้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมายเดิมพันต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้นเพื่อไม่ให้พวกเขาทำสำเร็จ
โฟรโด เมื่อใกล้ถึงมอดอร์เขาเหลือเวลาน้อยลง แหวนเรียกร้องให้เก็บมันไว้ ขณะเดียวกันถ้าไม่ทำลายแหวนโลกทั้งโลกจะถึงคราวถูกครอบงำจากเงามืด นี่คือบททดสอบตัวละครเอกที่หนักหน่วง ยิ่งเวลานานเข้าความเป็นมนุษย์ของเขาก็น้อยลงไป
ถ้าคุณกำลังจะเขียนนวนิยายแนวรักๆ ใคร่ๆ ที่ตัวเอกต้องการพิชิตใจหญิงสาว เขาพยายามเอาชนะใจเธอทุกวิถีทาง แต่พบว่าเธอกับแฟนเก่ากลับมามีความสัมพันธ์กันอีกครั้ง
คุณสามารถสร้างปมเพิ่มขึ้นให้กับตัวเอก เมื่อเขาได้ขึ้นเงินเดือนและตำแหน่งต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยขึ้น ทำให้เขามีโอกาสพบเธอน้อยลง งานของเขากำลังไปได้ดี ในทางปฏิบัติความรักกลับแย่ลง เขาต้องเลือกที่จะได้งานที่ดีหรือเลือกความรัก
ขณะที่เขากำลังนัดเธอกินข้าวมื้อสำคัญ แต่กลับพบว่าเธออยู่กับแฟนเก่า เขาพยายามออกจากสถานที่แห่งนั้น แต่เธอเห็นเขาพอดีจึงแนะนำให้เขารู้จักแฟนเก่า ซึ่งทำให้เขารู้ว่าแฟนเก่าของเธอคือประธานบริษัทที่เขาทำงานอยู่ (อะไรมันจะหนักขนาดนั้น)
อุปสรรคในเรื่องควรจะได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นแนวทางของเรื่อง การพัฒนาตัวละครหลักมีผลกับเนื้อหา ผมจำต้องเน้นย้ำในจุดนี้ ในตัวอย่างเรื่องราวนิยายรักใคร่ในย่อหน้าที่ผ่านมา ตัวเอกของเรากำลังเผชิญหน้ากับความรักที่ยากจะเกิดขึ้น เขาจะทำอย่างไรให้เธอเห็นคุณค่าของเขา สิ่งที่เขาต้องการคืออะไร งาน ความรัก หรือคู่แข่งที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เขาจะค้นพบความรักครั้งนี้ได้หรือไม่ บางทีอุปสรรคที่ขวางหน้าคือคำตอบที่ดีที่สุด
ตัวอย่างอุปสรรคที่ทดสอบตัวละคร
- Nothing Hill เมื่อแอนนากลับไปอเมริกา วิลเลียมไม่ได้สนใจความสัมพันธ์อื่นๆ กับสาวคนไหน เขาพยายามออกเดตตามที่เพื่อนฝูงแนะนำ แต่เขาไม่สามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับแอนนา “เป็นเพียงความฝัน” นั่นก็ดี มีความสุขในช่วงหนึ่ง เขาพบว่ามันเป็นความห่างกันของระดับการใช้ชีวิต ดาราสาวชื่อดัง กับเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาในน็อตติงฮิลล์เป็นเพียงแค่เทพนิยายพาฝัน การกลับมาของแอนนาที่อังกฤษครั้งแรก หลังจากที่เธอจากไปไม่บอกกล่าว เป็นบททดสอบวิลได้อย่างดีว่าเขารักเธอแค่ไหน แต่ขณะเดียวกัน อุปสรรคของเรื่องก็ทดสอบตัวแอนนาด้วย (เธอคิดว่าวิลบอกนักข่าวว่าเธออยู่ที่ไหน)
- The Matrix นีโอต้องการความมั่นใจ เทพพยากรณ์อาจจะเป็นตัวช่วยชี้นำ แต่เธอไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการ เขาถูกหักหลังจากกลุ่มเพื่อนที่ไม่เชื่อมั่น เพื่อนร่วมงานหลายคนต้องสังเวยชีวิต เขาปกป้องใครไม่ได้ ยิ่งนานวันเขายิ่งขาดความมั่นใจว่าเป็นผู้ปลดปล่อยจริงหรือไม่ ยิ่งถ้าเขาพ่ายแพ้จนถึงกับตาย นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ปลดปล่อยอย่างที่มอร์เฟียซกับทรินิตีเชื่อมั่น
คุณสมบัติที่ตัวละครหลักมีจะถูกเปิดเผย เมื่อพวกเขาจัดการกับอุปสรรคที่ท้าทาย ในน็อตติงฮิลล์ เราจะเห็นวิลเหมือนหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่ได้เป็นแบบนี้ตอนภรรยายทิ้งไป แต่เป็นกับแอนนา เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขาเป็นเพียงแค่ฝันแล้วผ่านไป แต่ความที่เขามุ่งมั่นในความรู้สึก เขาได้รับผลตอบแทนในตอนท้าย ในขณะที่ เดอะแมทริกซ์ ทรินิตีมีส่วนผลักดันให้นีโอมีความมุ่งมั่น แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ปลดปล่อยที่ล้มเหลวอย่างไร เธอยังเชื่อมั่นในตัวเขา และอาจเชื่อไปจนกว่าจะมีใครสักคนตายจากไปก่อน ซึ่งทรินิตีคิดว่าเธอจะปกป้องนีโอจนตัวตาย
พล็อตเรื่องย่อย และตัวละครรอง จะเล่าเรื่องของตัวเอง ผ่าน การผูกปม
ความตึงเครียดของสถานการณ์ในเรื่องยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างรุนแรง โชคดีที่เรื่องราวส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงอุปสรรคที่ตัวละครต้องผ่านไปให้ได้ หรือสร้างความขัดแย้งส่วนบุคคลอยู่ตลอดเวลา แต่ยังคงมีการปลดปล่อยความตึงเครียดที่สร้างความสมดุลให้กับบทของเรื่องขึ้นมาได้
พล็อตเรื่องย่อจะเป็นการพักเบรกจากพล็อตเรื่องหลัก มันถูกสร้างขึ้นเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด ส่วนใหญ่จะมีตัวละครรองเป็นผู้รองรับเหตุการณ์
ในแต่ละช่วงวิกฤติของเรื่องอาจจะนำไปสู่ตอนจบที่ใหญ่กว่า แต่ทุกช่วงเวลาเหล่านั้นจะถูกผ่อนคลายจากมุกตลกแสนฮา พล็อตเรื่องย่อย หรือช่วงเวลาเงียบสงบระหว่างสองตัวละคร แม้แต่นิยายผจญภัยแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยการปะดาบเลือดเดือดและเวทมนตร์ ตัวเอกต่อสู้กับกองทัพปีศาจตั้งแต่เช้ายันมืด พวกเขายังมีช่วงเวลาพักหายใจ หรือมีเวลาแอบโรแมนติกกับนางเอก
กระนั้นการใช้พล็อตย่อย หรือทำให้ตัวละครรองมีบทบาทในการเล่าเรื่องของตัวเอง แม้จะเป็นการพักเบรกเรื่องราวหลักที่แสนตึงเครียดได้ดี แต่ถ้าคุณใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่มากเกินไปในนวนิาย มันจะทำให้ตัวเรื่องเดินได้ช้า ผู้อ่านของคุณจะรู้สึกง่วงนอน เพราะตัวเรื่องไม่เดินไปไหนเสียที ในทางกลับกัน ถ้าคุณเดินหน้าเล่าเรื่องที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการหยุดพัก ผู้อ่านจะรู้สึกสับสน หรือเหนื่อยเกินไปในการอ่าน
ดังนั้นควรผสมผสานเรื่องราวหลัก เรื่องรอง ให้พอดีกลมกลืน เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับ ‘เวลา’ ในการดำเนินเรื่อง เมื่อช่วงเวลาตึงเครียด–น่าตื่นตะลึง กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ช่วงเวลาผ่อนคลาย-โล่งใจ ควรสอดแทรกเข้ามาแต่ไม่มากเกินไป
ตัวอย่างรูปแบบความตึงเครียด
- Nothing Hill แม้จะเป็นหนังรักโรแมนติกที่มีมุกตลกสอดแทรกตลอดเรื่อง แต่พล็อตย่อยๆ ที่ค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นไม่ว่าฉากที่แฟนของแอนนามาเซอร์ไพรส์ในห้องพักโรงแรม ขณะที่วิลขึ้นไปบนห้อง เขารีบออกจากห้องโดยโกหกแฟนของเธอว่าเป็นบริกรโรงแรม ทั้งสองจากกันครั้งแรก ความรักที่เหมือนฝันไปนั้น “ฝันไป” จริงๆ
- The Matrix สายลับสมิทล่วงรู้แล้วว่านีโอได้กลายมาเป็นผู้ต่อต้าน เมื่อเขาเข้าสู่แมกทริกซ์การตามล่าที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นีโอพบว่าเขาเสียเปรียบเมื่ออยู่ในระบบที่ไม่ได้ควบคุม ความกดดันเรื่องที่นีโอเป็นผู้ปลดปล่อยทำให้เขาต้องต่อสู้ทั้งความรู้สึกภายในและความรู้สึกภายนอก ยิ่งเขางมหาความเป้นเดอะวันช้าเท่าไหร่ ตัวเขาจะวิกฤติขึ้นมากเท่านั้น
สิ่งที่ต้องระลึกเสมอเมื่อคุณต้องการพักเบรกฉากที่กำลังเคร่งเครียด บู๊ไล่ล่า โดยเปลี่ยนเป็นฉากสงบนิ่ง หรือสอดใส่มุกขำขันลงไป ในเรื่องที่เต็มไปด้วยแอคชันถูกขั้นกลางด้วยฉากรัก หรือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
นวนิยายทุกเรื่องนั้นเขียนถึงความเป็นมนุษย์ ดังนั้นความรู้สึกเหล่านี้สามารถถูกสอดแทรกเข้ามาเพื่อเป็นช่วงพักความตึงเครียด แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือ ขณะเดียวกันบทเหล่านั้นจะต้องสะท้อนจุดที่เกี่ยวข้องกับโครงเรื่องใหญ่เสมอ
ในน็อตติงฮิลล์ สไปร์ช่วยเบรกความเศร้าของวิลล์ ซึ่งเป็นเรื่องความรักของเขา ฉากทำความเข้าใจระหว่างนีโอกับทรินิตี เพื่อเสริมความมั่นใจว่านีโอคือเดอะวัน อย่างน้อยความรักก็ทำให้เธอเชื่อมั่น
หรือในนวนิยายเรื่อง The Unbearable Lightness of Being ของมิลาน คุนเดอรา เรื่องราวของโธมัสกับเทเรซากำลังถึงจุดแตกหัก พล็อตรองถูกดำเนินขึ้นด้วยเรื่องราวระหว่างฟรานซ์ กับซาบินาเข้ามาแทน เรื่องของฟรานซ์นั้นขำขื่น ส่วนซาบินาก็เต็มไปด้วยรอยแผลของครอบครัว แน่นอนว่าทั้งสองตัวละครรองช่วยส่งเสริมนวนิยายเรื่องดังกล่าวอันเกี่ยวกับความเบาหวิว
จุดเดือด หรือจิุดวิกฤติ (crisis)
เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ ผู้อ่านหรือคนดูได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ความตึงเครียดนี้จะถูกขยายให้เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างแรงกดดัน ปมได้ทำการขมวดมาถึงปลายทางที่ยุ่งเหยิงแล้ว
จุดวิกฤตินั้นไม่ใช่จุดไคลแมกซ์ จุดวิกฤติจะเกิดขึ้นก่อน เพื่อนำตัวละครไปสู่จุดไคลแมกซ์ ดังนั้นการผูกปมตลอดทั้งเรื่องได้มาถึงจุดสุงสุดนั้นแล้ว นักเขียนจะทำอย่างไรกับจุดเดือดนี้
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเพิ่มการกระทำให้มากขึ้น เพื่อให้จุดเดือดนั้นไต่ไปถึงจุดไคลแมกซ์ ในเชิงอีโรติกนั่นคือช่วงที่คุณกำลังเพิ่มความเร็วและความแรงอย่างหนักหน่วง ต่อเนื่อง ทั้งเสียงร้อง ทั้งคำที่ลามกที่สุด การกระทำที่เพื่มมากขึ้น จะทำให้จุดสุดยอดเต็มไปด้วยพลังของความเสียวซ่านอย่างไม่รู้จบ หรืออย่างน้อยก็วินาทีนั้น ยิ่งคุณใส่มันลงไป จุดไคลแมกซ์จะก่อตัวด้วยความซ่านมากเท่านั้น
ใน Nothing Hill วิลรู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดที่ไม่รับรักแอนนาเป็นครั้งที่สาม จากนั้นเขากับเหล่าผองเพื่อนก็ขับรถออกไปเพื่อบอกรักกับเธอ ซึ่งอุปสรรคต่างๆ ถูกสร้างให้มากขึ้น
เช่น ไปถึงริซท์โฮเทลแล้วแอนนาเช็คเอาท์ไปแล้ว บริกรยอมบอกว่าคณะของแอนนาไปแถลงข่าวอีกโรงแรมหนึ่ง ระหว่างเดินทางในลอนดอนรถติด ต้องใช้วีรกรรมของสไปค์ลงไปโบกรถ ก่อนจะไต่สู่จุดไคลแมกซ์เมื่อวิลสารภาพรักและขอแอนนาแต่งงาน ต่อหน้าสื่อมวลชนมากมาย และถึงตอนนั้นน้ำตาก็หลั่งไหลจากดวงตาผู้ชมราวสายน้ำ
เช่นเดียวกับเดอะแมกทริกซ์ ที่นีโอเริ่มมีความเชื่อ เขากำลังพ่ายให้กับการต่อสู้กับสายลับ แต่เมื่อเขาเชื่อมั่นมากขึ้นหลบกระสุน และกำจัดสายลับสมิทให้ออกไปจากระบบได้สำเร็จ โดยเฉพะาการเหาะได้ของนีโอนั้นทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาคือผู้ปลดปล่อยตัวจริง
ตัวอย่างการบรรยายช่วง “จุดวิกฤติ” แบบเป็นตัวอักษร
นวนิยายเรื่อง 1984 ของ จอร์จ ออร์เวล
วินสตันนั่งมุมปกติ นัยน์ตาเพ่งดูแก้วเปล่า เดี๋ยวๆ ก็เหลือบขึ้นมองใบหน้ามหึมาซึ่งจับจ้องจากผนังตรงข้าม พี่เบิ้มกำลังจับตาดูคุณ คำบรรยายเขียนเช่นนั้น พนักงานเดินโต๊ะเติมยินวิคตอรีจนเต็มแก้วโดยไม่ต้องขอ…อารมณ์คุโพลงในใจวินสตันแล้วเลือนไปอีก ไม่ใช่ความกลัวเสียทีเดียว ทว่าเป็นความตื่นเต้นอันแยกแยะไม่ออก เขาหยุดคิดเรื่องสงคราม เดี๋ยวนี้เขาไม่อาจจดจ่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินสองสามอึดใจ วินสตันยกแก้วดื่มรวดเดียวหมด ยินทำให้เขาสะท้านและขย้อนเล็กน้อยเหมือนเคย…มันจะตัดโอชันเนียเป็นสองส่วน ซึ่งอาจหมายถึงอะไรก็ได้ เป็นต้นว่าความพ่ายแพ้ การล่มสลาย การแบ่งปันโลกใหม่ ความพินาศของพรรค!…อาการบีบเกร็งผ่านไป วินสตันวางม้าขาวกลับที่เดิม แต่ไม่อาจจดจ่อการขบปัญหาหมากรุกจริงจังได้ชั่วขณะ ความคิดเขาล่องลอยอีก วินสตันเขี่ยนิ้วตามฝุ่นบนโต๊ะเกือบไม่รู้ตัว เป็นข้อความว่า: 2+2=5”
บทสรุป
ก่อนอื่นเรามาทบทวนถึงบทเรียนเรื่อง การผูกปม กันอีกสักครั้ง ก่อนที่จะดำเนินไปสู่บทเรียนการเขียนในบทถัดไป
การผูกปมจะเริ่มขึ้นหลังจากเปิดเรื่องไปแล้ว และตัวละครมาถึงจุดที่เรียกว่า จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ (Inciting Incident) หลังจากนั้นเรื่องราวในนวนิยายจะดำเนินไปจากจุดนี้ ตัวละครจะพบชะตากรรมต่างๆ มากมาย เงื่อนปมที่ซับซ้อน และเหตุการณ์ทั้งหลายได้เกิดขึ้น ดูรูปภาพ Rising Action ด้านบน
เราจะเห็นได้ว่าตัวละครจะเริ่มค้นพบตัวเอง จากนั้นก็จะออกค้นหาเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ระหว่างนั้นเขาจะพบความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก จนกระทั้งเงื่อนปมทั้งหลายเดินทางมาถึงจุดวิกฤติ ซึ่งตอกย้ำสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นก่อนนำไปสู่สุดไคลแมกซ์ ส่วนกราฟด้านล่างจะแสดงถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
มาดูตัวอย่างที่ชัดเจนกว่าเก่า โดยเรามาดูว่าการผูกปมในเรื่องแฮมเล็ต (Hamlet) เป็นอย่างไรกันบ้าง
จากแอคชันแรกแฮมเล็ตพบเจอวิญญาณที่ระเบียงปืนใหญ่ วิญญาณบอกว่าเขาถูกฆาตกรรมโดยวางยาพิษและต้องการให้แฮมเล็ตแก้แค้น แฮมเล็ตต้องการแก้แค้น แต่เขาต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่วิญญาณมาบอกกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ แฮมเล็ตจ้างคณะละครมาแสดงในวังโดยเขียนเนื้อเรื่องเลียนแบบเหตุการณ์ฆาตกรรม และจะจับสังเกต ใครเป็นฆาตกรก้จะแสดงอาการ
คลอเดียสเป็นทั้งอาโดยสายเลือด เมื่อแต่งงานกับเกอร์ทรูด เขากลายเป็นพ่อบุญธรรมแฮมเล็ต เกอร์ทรูดเป็นแม่โดยสายเลือด เมื่อแต่งงานกับอา เธอกลายเป็นอาโดยศักดิ์ ฆาตกรคือคนในครอบครัว ขณะที่เขามีโอกาสฆ่าคอลเดียสแต่คลอเดียสกำลังภาวนา การที่คนตายขณะภาวนาวิญญาณเขาจะไปสวรรค์ แฮมเล็ตต้องการให้คลอเดียสไปนรก เขาจึงไม่สังหารในเวลานั้น
แฮมเล็ตฆ่าพอโอฟีเลีย และเลอแอร์ทีส ศพถูกอำพรางในวัง คลอเดียสลวงให้แฮมเล็ตไปราชการที่อังกฤษและหวังสังหาร โอฟีเลียเสียสติที่พาอตายเธอจมน้ำตาย ส่วนเลแอร์ทีสรู้ข่าว เขาต้องการแก้แค้คนที่ฆ่าพ่อ การดวลดาบเกิดขึ้นในท้องพระโรง และนองไปด้วยเลือด กับยาพิษ
เราจะเห็นได้ว่าการผูกปม ยิ่งมากขึ้นและซับซ้อนมากเท่าไรยิ่งทำให้เรื่องน่าสนใจ ขณะเดียวกันผู้คนก็รอให้ถึงจุดไคลแมกซ์ และการคลี่คลายปมมาถึง ดังนั้นความสำคัญของการผูกปมจึงเป็นดังหัวใจของการเล่าเรื่องทั้งหมด และนี่คือจุดที่ทำให้คุณสามารถเขียนนวนิยายได้อย่างที่คนอ่านคาดหวัง (หรือไม่)
เรามาถึงตอนสุดท้ายอีกครั้ง เราได้เรียนรู้ถึง การผูกปม คืออะไร (Rising Action) วิธีการผูกปมในแต่ละประเภทเรื่องแต่ง พร้อมกับตัวอย่างมากมายที่สอดแทรกอยู่ในบทเรียน ซึ่งผมพยายามแจกแจงให้เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อให้ผู้อ่านนำไปปฏิบัติ หรือแก้ไขข้อติดขัดระหว่างที่จะเริ่มเขียนนวนิยาย หรือลงมือเขียนไปแล้ว บทความนี้ได้ไขข้อข้องใจทั้งหมด และได้นำคุณผู้อ่านมาถึงตอนจบ แน่นอนว่าเรายังมี วิธีการเขียนอีกมากมายที่จะนำเสนอ เพื่อไม่ให้พลาดการอัพเดต ลงทะเบียนสมัครสมาชิกฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อที่เราจะติดตามเป็นเพื่อนกันตลอดโดยไม่ตกหล่นข่าวสารสำคัญ