จาก Life of Pi ถึง Beatrice and Virgil นิยายเล่มล่าสุดของ ยานน์ มาร์เทลจึงใช้เวลาเขียนห่างค่อนข้างนานเลยทีเดียว และมันก็เป็นนิยายที่มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อยานน์ มาร์เทลพยายามเขียนถึงเรื่องราว Holocaust เหยื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Yann Martel เกิดัวนที่ 25 มิถุนายน 1963 เป็นนักเขียนชาวแคนาดา เขาชนะเลิศรางวัล The Man Booker Prize-winning จากนิยายเรื่องดัง Life of Pi ที่กลายมาเป็นหนังรางวัลออสการ์สาขากำกับการแสดงยอดเยี่ยมโดยฝีมือของอังลี่
ครอบครัวของเขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยซาลามันกา แม่ลงทะเบียนเรียนในประเทศสเปนในขณะที่พ่อของเขากำลังทำปริญญาเอกเกี่ยวกับ นักเขียนและนักปรัชญา ชาวสเปนนาม มิเกล เดอ อูนามูโน ไม่นานหลังจากที่เขาเกิดครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ Coimbra ในโปรตุเกส และมาดริด ประเทศสเปน หลังจากนั้นไปที่ Fairbanks, Alaska พ่อของเขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐอลาสกาและวิกตอเรียในเวลาต่อมา
มาร์เทลจบการศึกษาระดับมัธยมปลายสองปีที่โรงเรียนทรินิตี้คอลเลจโรงเรียนประจำในพอร์ตโฮปออนแทรีโอแคนาดา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเทรนต์ในปีเตอร์โบโรห์
ตอนที่นิยายเรื่องนี้ออกมาใหม่ๆ นักอ่านต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเป็นงานเขียนถึงเรื่องราวอันไร้ประโยชน์ ไม่มีสาระ (absurd) หากเทียบกับเรื่องราวชีวิตของพาย พาเทล และเสือเบงกอล กลางทะเลใน Life of Pi
ตอนที่นิยายเรื่องนี้ออกมาใหม่ๆ นักอ่านต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเป็นงานเขียนถึงเรื่องราวอันไร้ประโยชน์ ไม่มีสาระ (absurd) หากเทียบกับเรื่องราวชีวิตของพาย พาเทล และเสือเบงกอล กลางทะเลใน Life of Pi ย่อมสนุกมากกว่า เรื่องของ เฮนรี-นักเขียนหมดไฟ ลา-เบียทริช กับ ลิงจ๋อ-เวอร์จิล มากนัก แม้จะจริงอยู่บ้าง แต่บางช่วงของนิยายก็ทำให้ผู้อ่านถึงกับนั่งไม่ติดเลยทีเดียว
นิยายเรื่อง Beatrice and Virgil เขียนถึงนักเขียนนามเฮนรี จุดหมายของเขาต้องการนำเสนอผลงานเล่มใหม่ของเขากับสำนักพิมพ์ โดยเขียนเรื่องราวของเหยื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่งานถูกปฏิเสธที่จะตีพิมพ์เขาจึงหมดไฟในการเขียน ย้ายไปอยู่ในต่างเมือง สมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ร้านช็อคโกแลต แล้วยังเป็นนักแสดงละคร ระหว่างนั้นเขาได้รับจดหมายประหลาดฉบับหนึ่งจากผู้อ่าน ซึ่งตัดบางส่วนจากเรื่องสั้นของกุสตาฟ โฟล์แบรต์ พร้อมบทละครที่เขียนไม่จบให้เฮนรี่ช่วยทำมันให้สำเร็จ เฮนรี่ตามไปยังที่อยู่นั้นไปพบว่าเจ้าของบทละครเป็นชายชราที่ค่อนข้างแปลก ไม่เข้ากับใคร ดูไม่น่าคบ เป็นเจ้าของร้านสัตว์สตัฟฟ์ นิยายเรื่องนี้ซ้อนเข้าไปยังบทละครของเจ้าของร้านสัตว์สตัฟฟ์ เขาเขียนละครเกี่ยวกับลา-เบียทิช และลิง-เวอร์จิล นิยายเล่าเรื่องคู่ขนานกันไป โดยมีกลิ่นอายนิยายแอบเสิร์ด ในแบบแซมมูเอล เบคเก็ต และยังผสมผสานแนวทางแบบ Meta Fiction เข้าไปในเรื่องด้วย
กลิ่นอายของ Beatrice and Virgil นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนหลากหลาย และดูเหมือนว่า Waiting for Godot ของ ซามูเอล เบคเก็ต กลายมาเป็นต้นแบบละครลิงกับลา ซึ่งเป็นภาพคู่ขนานของเหยื่อในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่จุดที่สะเทือนใจของผู้อ่านผู้กลับเป็นตอนที่เข้าใจได้ยาก ก็คือเมนเดลโชห์ลสุนัขเลี้ยงของเฮนรี่ป่วยเกินเยียวยาจนต้องรมแก๊สเพื่อให้มันไม่ทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป ผู้อ่านถึงกับเกือบจะหลั่งน้ำตา แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้คิดไม่ได้ถึงการสังหารที่เราเรียกมันว่าการุณฆาต การสังหารเมนเดลโชห์ลเพราะมันไม่สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างที่มนุษย์ต้องการ นั่นคือเป็นเพื่อนที่แสนดี เป็นผู้ที่คอยติดตามเฮนรีไปทุกที่ สัตย์ซื่อ เชื่อฟัง ไม่ก่ออันตรายให้ผุ้เลี้ยง แต่เมื่อมันถูกโรครุมทำร้ายกลายเป็นสัตว์ เราตีความมันว่าทนทุกข์ สมควรตาย การวินิจฉัยของแพทย์ทำให้เราไม่สามารถปล่อยชีวิตของมันให้ดำรงอยู่อีกต่อไป มันไร้คุณค่าลงไปในทันที
ความสะเทือนใจนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในฉากคู่ขนานบทละครเวที ลิงกับลาโดนฆ่าจากเด็กในหมู่บ้าน รวมถึงฉากสุดท้ายที่เฮนรีถูกแทงเจียนตาย เพราะเขาไร้ค่าในสายตาของนักสตัฟฟ์สัตว์เสียแล้ว เฮนรีรอดพ้นจากความตายนั้นอย่างเฉียดฉิวจนทำให้ต้องกลับมาทบทวนความทรงจำที่เลือนหาย เขาเขียนนิยายเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ผิดบาป อาจรวมถึงว่าทำไมเวลานั้นเขามองไม่เห็อาชญากร ทำไมเขาเป็นคนเดียวที่ยังยืนอยู่ข้างอาชญากรรมโดยไม่รู้ตัว
แม้ Beatrice and Virgil จะไม่โด่งดังเท่าเรื่องราวชีวิตอันโลดโผนของพาย แต่ในฐานะของความทะเยอทะยานของนักเขียน มาร์เทลได้ทำให้ลิงและลา แอบเสิร์ดของเขา ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในฐานะที่เรากำลังเผชิญหน้ากับการเป็นอาชญากรโดยไม่รู้ตัว ปัญหาในโลกสมัยใหม่ การฆ่าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เหยื่อของสงครามมิใช่เหยื่อที่ตายในสนามรบเท่านั้น แต่มันได้ขยายเขตแดนสังหารไปทุกหนแห่งบนโลก และบางทีเราอาจจะไม่เคยเข้าใจมันอีกเลย