เมื่อกล่าวถึงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีในเดือนธันวาคมที่หลายคนตั้งตารอคอยมาทั้งปีคงหนีไม่พ้น เทศกาล วันคริสต์มาส ก่อนถึงวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี บ้านเรือน ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และตามริมถนนหนทางล้วนถูกตกแต่งในธีมวันคริสต์มาส ต้นสนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามสถานที่สำคัญของเมืองถูกประดับด้วยลูกบอล ของตกแต่งหลากสีและไฟที่สว่างไสว ดึงดูดผู้คนให้ซึมซับกลิ่นอายของเทศกาลที่แสนรื่นรมย์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ภาพ ซานตาคลอส ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส
บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขจากการเฉลิมฉลองภายในครอบครัว การทานอาหารร่วมกันและแลกของขวัญสร้างความอบอุ่นที่ช่วยบรรเทาอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวและช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งปี นับว่าเป็นเทศกาลการสร้างความสุขต้อนรับปีใหม่ก็ว่าได้
แต่น้อยคนที่จะรู้เรื่องราวความลับเหล่านี้ ใครคือซานตาคลอสคนแรก ทำไมเขาให้เงินแก่เด็กๆ หรือแม้แต่เรื่องที่วันคริสต์มาสเคยผิดกฎหมายมาก่อน เรื่องราวชวนประหลาดใจทั้ง 7 อย่างกำลังรอให้ผู้คนค้นพบ ดังนั้นผู้เขียนจะขอนำผู้อ่านทุกท่านไปไขความลับของวันคริสต์มาสด้วยกัน

Table of Contents
1. ซานตาคลอส คนแรกของโลกคือใคร
ภาพซานตาคลอสที่เราคุ้นเคยกันดีมักจะเป็นชายแก่ร่างท้วม เครายาว สวมชุดสีแดงพร้อมกับแบกถุงใส่ของขวัญขนาดใหญ่มาพร้อมกับรถเลื่อนเรนเดียร์คู่ใจ ภาพลักษณ์คนแก่ใจดีทำให้เด็กๆ ชอบซานตาคลอสเป็นอย่างมากและรอคอยที่จะได้รับของขวัญจากเขา
แต่ถ้าถามเจาะลึกลงไปว่าซานตาคลอสคือใครกันแน่ น้อยคนนักที่จะรู้ แท้จริงแล้วซานตาคลอสคนแรกของโลกคือนักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ชาวฮอลแลนด์ ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา (Bishop of Myra) ซึ่งปัจจุบันเมืองนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศตุรกี นักบุญนิโคลัสมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และสาเหตุที่เขากลายเป็นซานตาคลอสนั้นมีหลายตำนาน ตำนานหนึ่งกล่าวว่านักบุญนิโคลัสเกิดความสงสารครอบครัวเด็กหญิงยากไร้คนหนึ่ง เขาอยากช่วยเหลือจึงปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของครอบครัวนี้และหย่อนถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่บังเอิญถุงเงินได้ตกใปในถุงเท้าที่ตากไว้ตรงเตาผิงพอดี ภายหลังทางครอบครัวจึงรู้ว่าเป็นนักบุญนิโคลัสที่นำเงินมาให้ ส่วนชื่อซานตาคลอส (Santa Claus) ในภาษาอังกฤษนั้นเพี้ยนมาจากภาษาดัชต์คำว่า ซินเตอร์คลาส (Sinterklass) ที่ใช้เรียกนักบุญนิโคลัสนั่นเอง นักบุญนิโคลัสจึงกลายเป็นซานตาคลอสขวัญใจเด็กๆ มากมายนับแต่นั้นเป็นต้นมา

2. ซานตาคลอส ให้เงินเด็กๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ไปขายบริการทางเพศ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตำนานที่ทำให้นักบุญนิโคลัสกลายเป็นซานตาคลอสผู้ใจดีของเด็กๆ นั้นมีหลายตำนาน และหนึ่งในตำนานที่ทำให้หลายคนเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมากนั่นคือ การที่เขาให้เงินแก่เด็กหญิงยากจนคนหนึ่งด้วยความสงสาร แต่เหตุผลจริงๆ ที่นักบุญนิโคลัสให้เงินแก่เด็กหญิงไม่ใช่เพียงเพราะสงสารเท่านั้น แต่เป็นการให้เงินแก่ครอบครัวเด็กหญิงยากจน เพื่อที่ครอบครัวจะไม่ขายเธอไปให้นายหน้าค้าประเวณี การกระทำของนักบุญนิโคลัสเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กต้องถูกบังคับให้ไปขายบริการทางเพศนั่นเอง

3. เดิมที ซานตาคลอส ใส่ชุดสีเขียว ไม่ใช่ชุดสีแดง
ในช่วงแรกนั้น นักบุญนิโคลัสหรือซานตาคลอสเป็นชายร่างกายผอมแห้ง สวมใส่เครื่องแต่งกายทางศาสนา แต่ต่อมาบ้างก็ว่าคนที่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของซานตาคลอสคือนักเขียนการ์ตูนชื่อ โธมัส นาสต์ (Thomas Nast) เขาวาดตัวละครซานตาคลอสให้มีรูปร่างท้วม สวมเสื้อคลุมแขนยาว สวมหมวกนอนตอนกลางคืนที่มีลักษณะเป็นทรงกรวย สีชุดจากเดิมที่ควรเป็นสีเขียวของชุดนักบวชกลับกลายเป็นสีแดง ภาพลักษณ์ใหม่นี้เผยสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกในนิตยาสาร Harper’s Weekly ในปี 1862 บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของศิลปินชาวสวีเดนชื่อ เจนนี ไนสตรอม (Jenny Nyström) ซึ่งได้เปลี่ยนสีชุดของซานตาคลอสจากสีเขียวเป็นสีแดงในบัตรอวยพรวันคริสต์มาสของเธอ
หลังจากนั้นมีศิลปินชาวสวีเดนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม (Haddan Sundblom) ได้นำซานตาคลอสในชุดสีแดงนี้ไปใช้ในแคมเปญส่งเสริมการขายของบริษัทเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่าง Coca-Cola เนื่องจากสีแดงเป็นสีเดียวกับเครื่องหมายการค้าของแบรนด์ โดยแคมเปญวันคริสต์มาสนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร The Saturday Evening Post จากนั้นเป็นต้นมา ซานตาคลอสจึงได้รับการจดจำในลักษณะสวมชุดสีแดงเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน แต่จริงๆแล้วซานตาคลอสเคยสวมชุดสีเขียวมาก่อน

4. เราสามารถเขียนจดหมายถึง ซานตาคลอส ได้และได้รับจดหมายตอบกลับจริง
เนื่องจากซานตาคลอสเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็กเล็กเป็นอย่างมาก จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความฝันของเด็กหลายคนคือการได้เจอ และพูดคุยกับซานตาคลอสตัวจริง เมื่อถึงเทศกาลวันคริสต์มาส เด็กๆ จึงมักจะเขียนขอพรแล้วใส่ไว้ในถุงเท้า ใต้หมอน หรือข้างเตียง ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดที่อยู่ของซานตาคลอสเพื่อให้เด็กๆ สามารถส่งจดหมายไปให้ซานตาคลอสและได้รับจดหมายตอบกลับมาอีกด้วย
โดยส่งไปที่เมือง Nuuk ประเทศกรีนแลนด์ เป็นตู้ไปรษณีย์ที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ตู้จดหมายนี้จะถูกเปิดออกในทุกๆ วันคริสมาสต์อีฟและเขียนตอบกลับมาให้เหล่าเด็กน้อยที่กำลังรอคอยจดหมายจากซานตาคลอสที่ตนชื่นชอบ สำหรับผู้ที่อยากลองส่งจดหมายไปหาซานตาคลอส สามารถส่งไปที่อยู่ด้านล่างนี้เลย
Santa Claus,
Nuuk, Greenland
2412

5. Merry Xmas คำนี้มาจากไหน
คำอวยพรสุดคลาสสิคในวันคริสต์มาสคงไม่พ้นคำว่า Merry Christmas คำว่า Christmas เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษโบราณคือ Christes Maess ที่มีความหมายว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า Christmas แทน โดยคำว่า Merry มีความหมายว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เมื่อนำมารวมกับคำว่า Christmas จึงแปลว่า ขอให้ได้รับสันติสุขและความสงบทางใจเนื่องในวันคริสต์มาส แต่ปัจจุบันมีการเขียนอีกหลายรูปแบบ เช่น Merry Kissmas โดยใช้คำว่า Kiss แทน Christ ที่ออกเสียงคล้ายกัน และคำว่า Merry Xmas ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ X แทนคำว่า Christ จริงๆแล้วคำว่า Christ ในภาษากรีกนั้น พยัญชนะ chi (ไค) ของกรีกเท่ากับพยัญชนะ X ฉะนั้น X จึงกลายเป็นคำย่อของ Christ
โดยคำว่า Xmas สามารถเขียนได้ถึง 3 แบบ ได้แก่ Xmas X’mas และ X-mass ซึ่งรูปแบบที่แนะนำให้ใช้คือ Xmas และควรใช้คำนี้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องย่อคำให้สั้นกะทัดรัด เพราะการเขียนในรูปแบบย่อนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้กันในหมู่วัยรุ่นเท่านั้น

6. ทำไมสีประจำ วันคริสต์มาส ต้องเป็นสีแดง-เขียว
เมื่อพูดถึงวันคริสต์มาส สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือสีแดงและเขียว สองสีที่ตัดกันอย่างสุดขั้ว มีหลายตำนานกล่าวถึงที่มาของสีประจำวันคริสต์มาส โดยตำนานแรกกล่าวว่า สีแดงและเขียวมาจากต้นฮอลลี่ ชาวเซลติกโบราณมองต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ของผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ จึงนำมาเป็นสัญลักษณ์ในวันคริสต์มาส ในแง่ของศาสนา ความหมายของต้นฮอลลี่มีความสัมพันธ์กับพระเยซู สีแดงของลูกฮอลลี่แสดงถึงหยดเลือดของพระเยซู ที่ไหลรินลงบนไม้กางเขน ส่วนสีเขียวแสดงถึงการมีชีวิตนิรันดร์ นอกจากนี้ใบของต้นฮอลลี่ที่มีรูปทรงแหลมคมเป็นตัวแทนของมงกุฎหนามที่พระองค์สวมใส่เมื่อถูกตรึงกางเขน
อีกตำนานกล่าวว่า สีแดงหมายถึงความรักผ่านพระโลหิตของพระเยซูบนไม้กางเขนและหมายถึงความรัก ความศรัทธาของชาวคริสต์ที่มีต่อพระเยซู โดยใช้ผลสีแดงของต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ ส่วนสีเขียวหมายถึง ความมีชีวิตชีวาและความหวัง โดยใช้ต้นเอเวอร์กรีนเป็นสัญลักษณ์

7. รู้หรือไม่ วันคริสต์มาส เคยผิดกฎหมายมาก่อน
ก่อนที่เทศกาลคริสต์มาสจะกลายมาเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองเฉกเช่นทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งวันคริสต์มาสถือเป็นวันที่ผิดกฎหมายในอเมริกาตอนต้น หากผู้ใดมีการเฉลิมฉลองในวันนี้จะถูกปรับเงิน โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากกลุ่มคนเคร่งศาสนาของ New England ที่ยึดถือวันที่ 25 ธันวาคมว่าเป็นวันแห่งการถือศีลอด จึงไม่อนุญาตให้มีการฉลองใดๆ ศาลทั่วไปแห่งนิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ได้ผ่านกฎหมายในปี ค.ศ. 1659 ซึ่งเตือนว่า ห้ามถือวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาสหรือวันใดๆ ที่จะมีงานเลี้ยงฉลองหรือการหยุดงาน หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎจะถูกปรับเงินจำนวน 5 ชิลลิง (Shilling คือสกุลเงินในสมัยนั้น)
โดยสตีเฟน นิสเซนบอม (Stephen Nissenbaum) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Battle for Christmas ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เหล่าผู้คนที่เคร่งศาสนาเชื่อว่าวันคริสต์มาสเป็นประเพณีของคนนอกรีตที่ชาวคาทอลิกสืบทอดต่อกันมาโดยไม่มีเรื่องราวนี้เขียนอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล
บางเรื่องของบทความนี้อาจจะทำให้ผู้อ่านประหลาดใจไปบ้าง แต่ก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกที่มีต่อวันคริสต์มาสมากนัก บทความนี้เพียงแค่ต้องการขยายขอบเขตความรู้เกี่ยวกับวันคริสต์มาสของผู้อ่านให้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากการเฉลิมฉลองแล้วการรู้ประวัติความเป็นมาของสิ่งต่างๆ ไว้ก็ไม่เสียหาย ถึงอย่างไรวันคริสต์มาสยังคงเป็นวันแห่งความสุขและความอิ่มเอมใจไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าในทุกๆ ครั้งที่ผ่านพ้นวันแห่งความสุขนี้ไป พาลให้ใจรู้สึกโหวงเหวงและว่างเปล่า การเริ่มต้นปีใหม่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากนี้บรรยากาศต่างๆ ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาจะถูกเก็บไปและทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ บางคนอาจจะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามเดิม บางคนกำลังเริ่มต้นทำบางอย่างในปีใหม่นี้ แต่ลึกๆแล้วเราทุกคนต่างตั้งตารอคอยให้ถึงเทศกาลแห่งความสุขอีกครั้ง และหวังว่าจะได้อยู่ซึมซับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นเช่นนี้ไปทุกๆ ปี
ไม่ว่ากี่เทศกาลจะผ่านพ้นไป กลิ่นอายของวันคริสต์มาสยังคงอบอวลอยู่ภายในใจ ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เฝ้ารอเทศกาลวันคริสต์มาสอย่างใจจดใจจ่อ รอวันที่จะได้พักผ่อนกายใจและเติมเต็มความสุขด้วยบรรยากาศที่น่าอัศจรรย์ใจ และในที่สุดเทศกาลคริสต์มาสก็ได้เวียนมาถึง ขอให้ทุกคนมีความสุขและร่วมดื่มด่ำบรรยากาศที่แสนล้ำค่านี้ไปพร้อมๆ กัน Merry Christmas!
กองบรรณาธิการ
ข้อมูลอ้างอิง
ตำนานซานตาครอส คุณลุงใจดีแห่งวันคริสต์มาส
สัญลักษณ์วันคริสต์มาส
เรื่องเล่าในตำนาน กำเนิดซานตาคลอส วันคริสต์มาส
17 Things You Never Knew About Santa Claus
“ซานตาคลอส” เคยใส่ชุดเขียว ก่อน “โธมัส นาสต์” จับสวมเสื้อแดง และไว้หนวดยาว
ทำไม ซานตาครอส ( ซานต้า ) ใส่ชุดสีแดง?
4 เรื่องลับที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับวันคริสมาสต์
ที่มาของคำว่า Xmas คือ? ทำไมถึงใช้ Xmas
7 ธรรมเนียมวันคริสต์มาส (ฉบับออริจินอล)
11 สัญลักษณ์วันคริสต์มาส มีความหมายแบบนี้เองเหรอเนี่ย!