“กองหน้าทำให้ทีมได้ประตู กองหลังทำให้คุณเป็นแชมป์”
การปฎิวัติแนวรับของเยอร์เก้นเริ่มขึ้นในยุคที่มี เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ เป็นนัมเบอร์วันของทีม เป็นผู้ออกคำสั่ง ตั้งแนวกำแพงเหล็ก The wall แห่ง GOT ป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่ป้องกันคนเถื่อนและไวส์วอร์คเกอร์มานาน ไม่จะมาจากการดวลโหม่งลูกกลางอากาศ การวิ่งไล่บอล การแย่งบอล สกัดลูกอันตราย หรือบังทางการยิงตามแนวกรอบประตู วางกำลังเวลาเสียเตะมุม และอยู่แถวหน้าเมื่อได้ลูกเตะมุม ลิเวอร์พูลผ่องถ่ายคราวานออกไปจากทีม และดึงโจ โกเมซ ที่หายจากอาการบาดเจ็บเข้าสู่ทีม 11+7 ในยามที่ลอฟเลนยังไม่พร้อมหลังกลับจากภารกิจทีมชาติในฟุตบอลโลก โกเมซได้มายืนคู่กับเวอร์จิล ในช่วงแรกของฤดูกาล ไม่มีใครปฏิเสธความสามารถของโกเมซ แต่อาการบาดเจ็บยาวของเขาเมื่อฤดูกาลก่อน อาจจะกัดกินดาวรุ่งคนนี้มากกว่าอื่นใด แล้วดูเหมือนว่าโกเมซใช้เวลาปรับตัวได้ไม่นาน เขากับเวอร์จิลก็เข้าคู่กันได้อย่างเหมาะสม เวอร์จิลยืนตำแหน่งปักหลักในลูกกลางอากาศ ปิดช่องในการส่ง หรือการยิงของเหล่าศูนย์หน้า ส่วนโกเมซมีความเร็ว ดุดัน และบล็อคลูกยิงจากเท้าของศูนย์หน้าได้ดี กลายเป็นคู่หูเซ็นเตอร์ที่เข้าขา จนแฟนบอลอุ่นใจ แต่มีคำถามว่าถ้าเวอร์จิลเจ็บ ใครจะเล่นแทน?
แบ๊คสองข้างที่เป็นพวกจอมบุก ขาติดเรดาห์ อาร์โนลด์ เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเอง แม้จุดอ่อนของเขาจะเป็นเรื่องการป้องกัน แต่จุดเด่นคือการเปิดบอลจากริมเส้น ส่วนแบ๊คซ้ายบ้าพลังแอนดี้ โรเบิร์ตสัน ขึ้นชื่อว่าเป็นม้าป่าที่วิ่งไม่มีหมด เท้าซ้ายของเขาชั่งทอง และทรงพลัง การป้องกันแนวรับก็ทำได้ดี ยามที่บุกขึ้นไปพร้อมเกอิต้า มาเน่ แนวรับของฝั่งตรงข้ามมีสิทธิที่จะโดนสั่งสอน หมอนี่ลุยไปจนสุดเส้น แม้บางจังหวะตีรถเปล่า แต่เผลอแป๊ปเดียวกลับมาประจำการในแนวรับ การวิ่งพล่านจากบนลงล่างโดยไม่มีหมดนี้ ทำเอาผู้เล่นอีกฝั่งถึงกับแหยง
และที่สำคัญอย่างขาดไม่ได้ อลิซน เบเกอร์ นายทวารที่ทำให้กองหลังไม่ต้องพะวักพวงต่อการป้องกันประตู หรือการส่งบอลคืนหลังขณะที่โดนกองหน้าฝ่ายตรงข้ามเพรสซิ่ง รวมถึงการทำทางเพื่อให้นายทวารคนนี้ได้ส่งลูกแม่นๆ ปลี่ยนจากรับเป็นรุกภายในไม่กี่วินาที
อย่างที่บอกว่าพวกเขาเสียคูตินโญ่ แต่ได้สามแนวรับที่แข็งแกร่งกลับเข้ามา เวอร์จิล อลิซน และฟาบินโญ่ แม้จะขาดผู้เล่นหมายเลขสิบแท้ๆ แต่สามประสานในแดนหน้ากลายเป็นเครื่องจักรที่ทำงานร่วมกันแทนเฟืองสำคัญตัวเดียวที่เรียกกันว่า “ระบบ”
นาบี้ เคอิต้า นัเคอิต้ากเตะกองกลางตัวความหวังที่แฟนบอลอยากเห็นเขาลงเล่น หลายคนเชื่อว่าความมั่นใจที่เลือกสวมเบอร์แปดของเขา จะทำได้อย่างน้อยสุดก็ใกล้เคียงตำนานอย่างเจอร์ราด แต่ดูเหมือนว่าเยอร์เก้นจะไม่คิดเช่นแฟนบอล เคอิต้าได้สัมผัสเกมเป็นตัวจริงสองสามเกม และถูกเปลี่ยนตัวออก เขายังเสียบอลง่าย การพลิกเล่นยังฝืนธรรมชาติ ประกอบกับจังหวะในเกมพรีเมียร์นั้นต่างจากลีกอื่นๆ การเข้าบอลที่รวดเร็ว รุนแรง และหนักหน่วง นักเตะต่างชาติจะต้องเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับฟาบินโญ่ ที่เยอร์เก้นยังประคบประหงมฝึกซ้อม ไล่ระดับความฟิตของนักเตะบราซิล ยังไม่ปล่อยลงสนามเป้นตัวจริงในทันที
กลางสามตัวของเยอร์เก้นในต้นฤดูเฮนเดอร์สันไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกๆ เนื่องจากเขาเพิ่งกลับจากฟุตบอลโลก ดังนั้นตัวหลักกลายเป็น ไวนาดุม และมิลเนอร์ ที่ไม่ได้ไปเตะบอลโลก ลงปักหลักในช่วงสามสี่เกมแรก ทั้งสองมีระดับความฟิตเต็มกำลังและอยู่ในช่วงพรีซีซั่นตลอด ส่วนเกียต้านั้นลงเล่นเป็นตัวจริงในสามนัดแรก แต่ก็โดนเปลี่ยนตัวออกทั้งสามนัด
พอนัดที่สี่กับเลสเตอร์ เฮนเดอสันก็กลับมาสู่ตัวจริงโดยเล่นเป็นกลางรับ เคียงข้างมิลเนอร์ และไวนาดุม ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการจ่าย การแย่งบอล รวมถึงจังหวะแก้สถานการณ์ที่คับขันจากการโดนรุมแย่งบอลเพื่อแก้เพรสซิ่งจากฝั่งตรงข้าม ไวนาดุมกลายเป็นคนเอาบอลเพื่อแก้สถานการณ์ได้ดีที่สุด
ฟาบินโญ่ได้ลงเป็นตัวจริงนัดแรกกับการเล่น ชปล. กับ ซเวซดา ซึ่งเยอร์เก้นมองว่าเป็นแมตซ์ที่จะทดสอบกองกลางชาวบราซิลในเกมที่ไม่กดดันมากนัก และดูเหมือนจะเป็นก้าวแรกที่มั่นคง เพราะในนัดต่อมากองกลางชาวบราซิลก็เริ่มยึดตำแหน่ง และเรียนรู้ระบบการเล่นของทีม และเมื่อเฮนเดอร์สันได้รับใบแดงในเกมกับวัตฟอร์ด ฟาบินโญ่ก็กลายมามีบทบาทสำคัญในทีมมากยิ่งขึ้น
สวนทางกับเกอิต้าที่ได้รับบาดเจ็บ และต้องหยุดพัก เขาต้องรักษาอาการบาดเจ็บพักใหญ่ก่อนกลับเข้าสู่การซ้อมเต็มรูปแบบ คราวนี้เยอร์เก้นไม่ปล่อยให้เคอิต้าได้เริ่มต้นเร็วเกินไปเหมือนต้นฤดู การฟูมฟักในการซ้อมเพื่อเข้าใจระบบจนแน่ใจแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถปล่อยนักเตะลงไปร่ายมนต์ได้ นี่คือวิธีที่เยอร์เก้นปฏิบัติกับนักเตะทุกคน แม้แฟนบอลจะเรียกร้องอย่างไร แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจ และมองเห็นความสุกงอมของนักเตะ ว่าเวลาใดควรลง เวลาใดควรพัก เขาไม่เร่งร้อนที่จะใช้นักเตะที่บาดเจ็บ ไม่เคยบ่นเรื่องตัวผู้เล่น ใช้นักเตะเท่าที่มี
เป็นที่เปิดเผยว่าการที่ลิเวอร์พูลคว้าเคอิต้ามานั้นด้วยข้อมูลการประเมินจากทีมวิเคราะห์ของ เอียน เกรแฮม ข้อมูลของเคอิต้าที่ถูกรวบรวมมาไม่ใช่แค่การจ่ายแบบคิลเลอร์พาส การยิงจากแถวสอง หารเข้าปะทะ หรือการแย่งบอลเพียงอย่างเดียว ตัวเลขที่เกรแฮมมองเห็นและนำไปสู่การสนใจของเขาก็คือ เคอิต้ามักจะพาบอลไปอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ทีมได้เปรียบ แล้วสิ่งนั้นสำแดงผลในเวลาต่อมา
>เศาะลาห์
>ฟีร์มีโน
>มาเน่
สามประสานในแดนหน้าทั้งสามสำหรับเครื่องจักรสีแดงถ้าพวกเขาไม่บาดเจ็บ ไม่ผ่านความฟิต การันตีได้ว่าพวกเขาได้ลงตัวจรงอย่างไม่ต้องสงสัย แม้นักวิจารณ์ หรือแฟนบอลจะมีเครื่องหมายคำถามถึงฟอร์มการเล่น (ในบางช่วง) แต่หาได้ทำให้เยอร์เก้น คล็อปป์เปลี่ยนใจไม่
มองไปที่สำรองสเตอริดห์ โอริกิ และชาชิรี ชาชิรีดูเหมือนจะได้รับโอกาสมากกว่าสองคนแรกพอสมควร แม้สเตอริดห์จะได้โอกาสในช่วงนัดแรกๆ แต่เมื่อนักเตะจากทีมชาติทยอยกันฟิตลงสนาม เยอร์เก้นไม่ลังเลที่จะใส่ชื่อสามประสานตัวจริงลงสนามมากกว่า
โอริกิปฎิเสธที่จะยืมตัวเขาต้องการต่อสู้ในตำแหน่งศูนย์หน้าที่แอนฟิลด์ และดูเหมือนโอกาสของเขาจะเป็นเพียงตัวเลือกอันดับที่สี่ เป็นรอง ชาชิรี และสเตอริดห์ แต่สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว ตัวสำรองทุกคนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวจริง ฤดูกาลที่ยาวนาน การที่ต้องเล่นให้ได้มาจรฐานอย่างสม่ำเสมอ โอกาส โชค การบาดเจ็บ อาจจะมอบโอกาสให้กับทุกคน ซึ่งนี่คือเกมฟุตบอล ที่นักเตะทุกคนต้องมองหาสิ่งเหล่านั้นให้เจอ แล้วคว้าโอกาสนั้นมาให้ได้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีความสำคัญต่อทีมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวจริง
บางนัดเศาะลาห์เบี่ยงตัวเองไปเป็นศูนย์หน้า โดยมีฟีร์มีโนคอยป้อนบอล มาเน่หุบจากซ้ายเข้ามาป้วนเปี้ยนหน้ากรอบประตู มีการสลับตำแหน่งกันเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนประกอบ บ๊อบบี้นั้นรับหน้าที่หนักหนาที่สุด ตัวปิดทองหลังพระเชื่อมเกมจากแดนกลางไปสู่แดนหน้า จังหวะปิสกอร์จึงขึ้นอยู่กับมาเน่ และเศาะลาห์เป็นหลัก แน่นอนฤดูกาลนี้กองหลังทุกคนรู้จักเศาะลาห์เป็นอย่างดี พวเขาไม่ปล่อยให้เจ้าชายแห่งอียิปต์ได้หลอกล่อพวกเขาแบบเดิมอีก นั่นเป็นที่มาที่หลายคนหงุดหงิดกับฟอร์มของเศาะลาห์ พาลมาจนถึงฟอร์มของมาเน่ที่ลากเลื้อยมั่นใจเกินไป แต่ปิดสกอร์ได้ไม่คม หรือจังหวะที่ควรจ่ายมาเน่ก็ไปเอง จนเป็นที่มาว่ามาเน่กับเศาะลาห์แย่งความโดดเด่นกัน ใครที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลตัวยงคงไม่เห็นแบบนั้น แน่นอนแฟนหัวร้อน ชอบอ่านข่าวเสี้ยมก็อาจจะรู้สึกไปเอง มโนไปบ้าง เหมือนดูละครหลังข่าว ตัวร้ายนางอิจฉา แต่ถ้าดูเบื้องหลังการฝึกซ้อม ดูที่คล็อปป์สัมภาษณ์ หรืออ่านข่าวจากนักข่าวสายลิเวอร์พูล พวกเขาจะไม่เป็นแบบนั้น ไม่มองนักเตะเป็นอื่น มีแต่ความเชื่อมั่น
ถ้าคุณจำได้เศาะลาห์เมื่อหายจากอาการเจ็บไหล่ เขาค่อยๆ กลับมาเล่นได้อย่างมั่นใจ และสิ่งที่เขาทำให้แฟนบอลเห็นคือคุณภาพ และในที่สุดคุณจะเห็นตัวตนภายในของเศาะลาห์ กับมาเน่ ว่าเป็นอย่างไร