Remembrance 6 October : รำลึก 6 ตุลา เหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญของประเทศไทย เป็นวันที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลและกลุ่มฝ่ายขวาหลายกลุ่มร่วมมือกันก่อการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตฝ่ายประชาชนอย่างน้อย 41 คน และบาดเจ็บ 145 คน การก่อการสังหารครั้งนี้ได้กลายเป็นข่าวแพร่ไปทั่วโลก แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ การก่อกรณีนองเลือดครั้งนี้ ไม่มีการจับกุมฆาตกรผู้ก่อการสังหารเลยแม้แต่คนเดียว ในทางตรงข้ามนักศึกษาประชาชนที่เหลือรอดจากการถูกสังหารจำนวน 3,094 คน กลับถูกจับกุมทั้งหมดภายในวันนั้น และในระยะเวลาต่อมา ผู้ถูกจับกุมจะได้รับการประกันตัวออกมาเป็นส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังมีเหลืออีก 27 คน ถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินคดี เป็นชาย 23 คน และหญิง 4 คน จนท้ายที่สุด จะเหลือ 19 คน ซึ่งตกเป็นจำเลย ถูกคุมขังและดำเนินคดีอยู่เกือบ 2 ปีจึงจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนผู้ก่อการสังหารซึ่งควรจะเป็นจำเลยตัวจริงนั้นไม่มี เจ้าหน้าที่ ไม่มีคนของรัฐบาล แม้กระทั่ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีสมัยที่ปล่อยผู้ต้องหา 6 ตุลาฯ ทั้ง 19 คนนี้ก็ได้กล่าวว่า แล้วก็ให้แล้วกันไป ลืมมันเสียเถิดนะ เหมือนกับว่าจะให้ลืมกรณีฆาตกรรมดังกล่าวเสีย มิให้กล่าวถึงคนร้ายในกรณีนี้อีก
Table of Contents
6 ตุลา ลืมไม่ได้ จําไม่ลง– Remembrance 6 October
“พี่ ๆ ตำรวจครับ กรุณาหยุดยิงเถิดครับ เราชุมนุมกันอย่างสันติ เราไม่มีอาวุธ ตัวแทนของเรากำลังเจรจาอยู่กับรัฐบาล อย่าให้เสียเลือดเนื้อไปมากกว่านี้เลย กรุณาหยุดยิงเถิดครับ”
…
ผมจำได้ว่าตัวเองพร่ำพูดอย่างนี้ นับร้อยครั้งในเช้าวันพุธนั้น ผมพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่สมอง จะได้ไม่ต้องคิด รู้แต่เพียงว่าต้องมีเสียงจากเวที ให้นานที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรไปมากกว่านั้น และเอาเข้าจริง ผมก็ไม่สามารถคิดอะไรได้มากกว่านั้น
ดูเหมือนนั่นจะเป็นการกล่าวต่อ สาธารณชนครั้งสำคัญที่สุด แต่ไร้ค่าที่สุดในชีวิตผม เป็นคำพูดที่มีความหมายที่สุดเพื่อ ชีวิตนับพันในธรรมศาสตร์ แต่กลับไร้ความหมายมากที่สุด เพราะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางคนเห็นว่าสิ่งที่ผมทำเป็นความ กล้าหาญ ในขณะที่บางคนข้องใจว่าไม่เห็น ผมทำอะไรสักอย่าง
ผมหนีความทรงจำของตัวเองต่อเหตุการณ์ เช้าวันนั้นไปไม่พ้น
Tweet
ผมหนีความทรงจำของตัวเองต่อเหตุการณ์ เช้าวันนั้นไปไม่พ้น
จนถึงวันนี้ ความทรงจำและความรู้สึกขัดแย้งกันเองข้างต้น ยังคงเวียนมาหาผมอยู่เรื่อยๆ
ที่แน่ๆ ก็คือ ผมไม่รู้สึกกล้าหาญเลยตลอดเช้าวันนั้น ผมกลัว กลัวมากๆ ด้วย สติเท่านั้นที่ช่วยรั้งผมให้อยู่ ตรงนั้น ผมกลัวจนคิดวิตกไปต่าง ๆ นานา
ในที่สุดผมก็พูดซ้ำๆ ซากๆ เพื่อสกัดไม่ให้ตัวเองคิด จะได้ไม่ต้องกลัวไปมากกว่านั้น
“ความโหดร้าย” และ “ความเงียบ”
เราถูกก่อกวนด้วยอาวุธเบาหรือระเบิด ทำเองตั้งแต่กลางดึก แต่ผู้ชุมนุมซึ่งผ่านการถูกก่อ กวนทำร้ายมาหลายครั้ง กลายเป็นกลุ่มคนที่ขวัญไม่กระเจิงง่ายๆ และพร้อมจะตอบสนองเสียงจากเวทีที่พยายามลดความสับสนอลหม่านทุกครั้งที่มี เสียงปืนหรือระเบิดดังมาจากทางหอประชุมใหญ่ ทุกคนพร้อมใจที่จะหมอบสงบนิ่ง ไม่มีการวิ่งพล่าน คนบนเวทีทำหน้าที่เพียงปลุกขวัญ กำลังใจและเป็นตัวเชื่อมแต่ ละชีวิตที่กระจายอยู่ตามสนาม และส่วนต่างๆ ของธรรมศาสตร์ บางทีสิ่งที่พูดไปอาจจะไม่สำคัญเท่ากับเสียงที่ยังคงดังอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนหรือดนตรี
ดึกอย่างนั้นและถูกก่อกวนอย่างนั้น เราสามคน (คือตัวผม พี่ชายผม ชวลิต วินิจจะกูล ซึ่งเพื่อนๆ เรียกว่า หง่าว และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล) ซึ่งรับผิดชอบดูแลเวทีการชุมนุมอยู่ ไม่คิดจะปล่อยไมโครโฟนให้ใครอีก ยกเว้นวงกรรมาชนซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี
เราเห็นป้อมยามด้านสนามหลวงถูก เผามอด เราเห็นแสงวูบวาบทุกครั้งที่มี ระเบิดพลาสติกก่อกวน ประมาณตีสองหรือตีสาม เรารับรู้ว่าตำรวจเริ่มรายล้อมธรรมศาสตร์แล้ว เสียงปืนดังถี่ขึ้นทุกที
ผมไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับแกน นำอีกเลยนับจากคืนวันที่ 4 แต่รับรู้ว่าพวกเขากำลังหาทางออกอยู่ ผมเองไม่ได้รับคำบอกกล่าวว่าการชุมนุมจะสลายตัวเมื่อไร แต่จากประสบการณ์ผมเข้าใจว่าเราคงคอยถึงตอนฟ้าสาง คิดเช่นนั้นจึงตัดสินใจไม่บอก ที่ชุมนุมว่าตำรวจเริ่มล้อม ธรรมศาสตร์แล้ว และห้ามพูดโจมตีหรือเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเด็ดขาด แต่การวิพากษ์วิจารณ์รัฐ รัฐบาล และพวกเผด็จการ (ที่พยายามก่อรัฐประหาร) อย่างเป็นนามธรรมยังดำเนินไปตามปรกติ
ประมาณตีห้าครึ่ง เสียง “วี้ด” ยาวๆ ดังจนผมตกใจ ยังไม่ทันคิดหรือรู้สึกอะไรทั้งสิ้น เสียงตูมก็ตามมาพร้อมแรงสะเทือน ควันสีขาวลอยขึ้นบริเวณเกือบกึ่ง กลางสนาม ฟ้าเพิ่งจะสางควันกับหมอกจางๆ ปนเปกันไปหมด เห็นผู้คนนอนราบเป็นกลุ่มอยู่ตรงบริเวณนั้น ดูไม่ออกเลยว่าเขาหมอบราบตาม ที่ได้นัดแนะกันไว้เมื่อได้ ยินเสียงอาวุธ หรือพวกเขาบาดเจ็บ จนกระทั่งเห็นมีการลำเลียงคนเจ็บออกไปรักษาพยาบาลที่หน่วยพยาบาลเพื่อมวลชน (พมช.) บริเวณตึกบัญชี ไม่นานนักก็ได้รับรายงานว่ามีคนเสียชีวิตไปแล้ว 4 คน และมีผู้บาดเจ็บต้องนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ตอนนั้นผมมีแต่ความโกรธและแค้นใจที่ทำกันรุนแรงขนาดนี้ ถึงความคิดและการกระทำของนักศึกษาจะดูรุนแรง แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิด เราไม่เคยมีปฏิบัติการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ในเวลานั้นเราพูดถึงการถูกล้อมปราบ แต่รูปธรรมที่ผมพอจินตนาการออก ก็มีแต่ผ่านหนังสือที่เคยอ่าน เท่านั้น ผมเองรู้สึกอยู่ว่าสถานการณ์ช่วงนั้นไม่ดีเลย เราจึงชะลอการชุมนุมออกไปหลายวัน ชุมนุมแล้วเลิกก็หลายครั้ง เรารู้ว่ามีความเสี่ยงอยู่มากที่จะถูกทำร้าย แต่ผมและเพื่อนๆ จำนวนมากมิได้คาดเลยว่า การปราบปรามอย่างทารุณโหดร้ายเริ่ม ขึ้นแล้ว
เย็นวันที่ 5 แม้จะได้รับใบปลิวโจมตีนักศึกษาแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมก็ยังเชื่อว่าพอมีทางชี้แจงแก้ไขได้ ผมนึกอยู่เหมือนกันว่านี่เล่นกันแบบทิ้งไพ่ใบสุดท้ายแล้ว หมายความว่าช่องทางจะยุติกรณีถนอมจะยากยิ่งขึ้น มีผู้เสียหายหนักทางการเมือง และนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้น แต่ผมยังนึกอยู่ว่ามีช่องทางยุติ ผมไม่ได้นึกถึงการล้อมปราบอย่างที่เกิดขึ้นเลย
ระเบิดที่ยิงเข้ามาสังหารผู้คนกลางสนามเป็นสัญญาณบอกผมว่า สิ่งที่ไม่ได้คาดและยังคิดไม่ออกนั้น เริ่มขึ้นแล้ว
ล้อมปราบประชาชน
ขณะนั้นผมเพิ่งอายุครบ 19 ปีได้ไม่กี่วัน ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งกล้าหาญ จำได้ว่าผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และตัวสั่นไปหมดเมื่อต้องประกาศ เรียกหารถเพิ่มเติมเพื่อพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ต่อมาทั้งโกรธทั้งแค้นทั้งเสียใจทั้งกลัว เมื่อรู้ว่ารถขนคนเจ็บต่อแถวกัน อยู่ตรงประตูท่าพระจันทร์ ตำรวจไม่ยอมให้พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล
จนถึงวันนี้ผมก็ยังเข้าใจไม่ได้ ว่าทำไม? ในสงครามเขาไม่ทำร้ายคนเจ็บ และยอมให้มีการรักษาพยาบาลกันได้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเคารพในเกียรติของนักรบที่เสียสละเพื่อสิ่งที่เชื่อว่า ยิ่งใหญ่กว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในชาติ พระเจ้า หรืออื่นๆ
หรือว่าในการล้อมปราบประชาชนที่ มีความคิดต่างกัน ผู้ถูกล้อมปราบไม่ใช่มนุษย์และไม่มีเกียรติใดๆ ต้องเคารพ
กระทั่งหลังเจ็ดโมงเช้าไปแล้ว รถขนคนเจ็บจึงได้รับอนุญาตให้แล่นออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ ภายหลังทราบว่า ระหว่างที่รออยู่นั้นมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ผู้ที่บาดเจ็บอาการก็ทรุดหนักเพราะเสียเลือดไปมาก
จนถึงวันนี้ผมก็ยังเข้าใจไม่ได้ นายตำรวจที่อยู่ทางด้านประตูท่าพระจันทร์คงรู้ดีที่สุดว่า ทำไมผมไม่มีความโกรธแค้นเหลืออยู่อีก แล้วในวันนี้ผมเพียงอยากทราบว่าทำไม ?
อำนาจรัฐอันป่าเถื่อน
คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่อ่อนประสบการณ์ เราเข้ามาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพราะคิดว่าตึกต่างๆ จะปกป้องเราจากการโจมตีแบบฉาบฉวยของกลุ่มอันธพาลการเมืองได้ แต่ชัยภูมิที่ค่อนข้างปิด รักษาความปลอดภัยง่าย ดูแลทั่วถึง ก็หมายถึงบริเวณที่จำกัด และถูกปิดล้อมได้ง่ายดายด้วย เมื่อมีระเบิดลงกลางสนาม เราคิดได้ว่าต้องย้ายคนเข้าไป ตามตึกต่างๆ เราคาดไม่ถึงว่าตึกบัญชีจะกลายเป็นเป้ากระสุนที่ยิงมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จนผู้คนเคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้ตลอดเช้าวันนั้น
หลังระเบิดลูกแรกไม่นาน เสียงปืนรัวจากด้านนอกก็เปลี่ยนลักษณะไป ก่อนหน้านั้นตอนกลางดึกมีเสียงปืนดังครั้งละไม่กี่นัด พอตีสองหรือตีสามก็กลายเป็นชุดกระสุนรัวเป็นครั้งคราว ก่อนหกโมงเช้า เสียงอาวุธแบบสงครามกลับรัวดังไม่ขาดสาย จะเว้นช่วงเพียง 10 –15 วินาทีเป็นระยะทุกๆ 5 นาที ปืนรัวหูดับตับไหม้อยู่เช่นนั้นจนถึงแปดโมงครึ่งหรือเก้าโมงเช้าเมื่อการล้อมปราบยุติ
จำได้ว่าเราทำได้ก็เพียงอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เราชุมนุมเพื่ออะไร และการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ ในธรรมศาสตร์ไม่มีอาวุธจะตอบโต้ พูดไปพลางผู้คนก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายอย่างเงียบๆ เข้าชายคาตึกทั้งสองฟากสนาม ไม่มีใครแตกตื่น แต่ผมไม่รู้ว่าในใจของแต่ละคนคิดอะไรอยู่
เราไม่ได้บอกผู้ชุมนุมเลยว่าถูกตำรวจล้อม เพราะไม่ต้องการโจมตีตำรวจ และยังหวังว่าจะหาทางออกได้ แต่เสียงอาวุธสงครามที่ระงมอยู่คงบอกแก่ผู้ชุมนุมในธรรมศาสตร์แล้วว่า นี่ไม่ใช่แค่กลุ่มอันธพาลการเมืองอีกต่อไป จำได้ว่าผมทนไม่ไหว พูดโจมตีตำรวจอย่างรุนแร งเมื่อรู้ว่าเขาไม่ยอมให้รถที่จะนำคนเจ็บไปสู่โรงพยาบาลแล่นออกจากประตูด้านท่าพระจันทร์
ประมาณหกโมงเช้า สุธรรม แสงประทุม แวะมากล่าวต่อที่ชุมนุมก่อนจะออกจากธรรมศาสตร์ไปพบ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ที่บ้านซอยเอกมัย ยิ่งสุธรรมพูด ธรรมศาสตร์ก็ยิ่งถูกกระหน่ำหนักขึ้น มีกระสุนซัดมาทางเวทีในระดับเหนือ ศีรษะ จนสุธรรมต้องหมอบลงพูดกับพื้นเวที
ผมรับไมโครโฟนจากเขา พูดต่อได้อีกไม่นานนัก ก็ค่อยๆ คลานลงมาหลบอยู่หลังถังเหล็กซึ่ง ใช้เป็นฐานของเวทีปราศรัย มีเพื่อนเทคโนฯ สองสามคน จำไม่ได้ถนัดว่ารวมทั้งประยุทธ จากบางมดซึ่งเคยทำกิจกรรมด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2515 ด้วยหรือไม่
หง่าวกับสมศักดิ์ยังอยู่แถวนั้น เสียงผมแหบแห้งตั้งแต่คืนวันที่ 4 แล้ว จึงผลัดกันพูดอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักผมเริ่มคิดได้น้อยลงทุกที สติยังดีอยู่และไม่ตื่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่ความกลัวและจนปัญญาเริ่มคืบเข้ามา ในที่สุดผมก็ได้แต่พูดซ้ำ ดังกล่าวแต่ต้น หากจำไม่ผิดหง่าวกับสมศักดิ์ก็พูดอะไรไม่ออกมากไปกว่านั้น
ไม่นานนักผมก็ยึดไมโครโฟนพูดซ้ำๆ ซากๆ เป็นคนบ้าอยู่คนเดียวอย่างนั้น เป็นการให้สัญญาณคนอื่นไปจากหลัง เวทีนั้นได้ จำไม่ได้ว่าสมศักดิ์ไปจากหลังเวทีนั้นเมื่อไร แต่เขาบอกว่าจะไปช่วยแถวท่าพระจันทร์ เขาอาจจะเห็นว่าอยู่ตรงนั้นต่อ ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเองก็ต้องการจะไล่เขาให้หนีไปอยู่แล้ว พี่ชายผมก็คงรู้ แต่เขาไม่ยอมไปไหน ยังวนเวียนอยู่แถวนั้น เพื่อนเทคโนฯ คนหนึ่งปฏิเสธที่จะไป เขาเตรียมไมโครโฟนกับลำโพงฉุกเฉินอีกชุดหนึ่งในกรณีชุดที่ผมใช้อยู่เกิดปัญหา ผมไม่ได้ขอให้เขาทำ ดูท่าทางสติของเขายังเข้มแข็งและยังคงคิดได้ว่าตัวเองควรทำอะไร ผิดกับผมที่สติยังมีอยู่แต่พูดซ้ำซากเป็นคนบ้าอีก 2 ชั่วโมง
เผด็จการ รังแกประชาชน จ้องจะทำรัฐประหาร
ผมจำไม่ได้มีการปรึกษากับสมศักดิ์ หรือหง่าวอีกไหม นับจากถูกระดมยิงตอนเช้ามืด แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมคิดอะไรจึงพูดได้แค่นั้น เพราะผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเองมากๆ ว่า เราวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐ กลไกรัฐ ว่าเป็นเผด็จการ รังแกประชาชน จ้องจะทำรัฐประหาร เราใช้ถ้อยคำที่สู้รบและรุนแรง แม้จะไม่หยาบคายก็เถอะ แต่แล้วในเวลาเช่นนั้น ผมคิดได้อย่างเดียวว่า หากพอมีหนทางที่จะทำให้ตำรวจหยุดยิงได้ ผมขอทำ แม้จะต้องพูดขอร้องอย่างคนที่พร้อมจะคุกเข่ากราบกรานขอชีวิตก็ตาม ในเวลานั้นผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง และละอายใจจนจำได้ถนัด แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
ผมทราบภายหลังว่ามีคนไม่พอใจที่ผมยอมแพ้ ทำไมไปฝากความหวังไว้กับชนชั้นปกครอง ความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ทำให้ ผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง และละอายใจ แต่ผมมิได้กล้าหาญพอที่จะประกอบวีรกรรมหรือพูดปลุกขวัญสู้ รบใดๆ อีกในภาวะขณะนั้น ผมเหลือแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าตำรวจอาจยอมเพลาลง รอสุธรรมเจรจากับรัฐบาลก่อน ผมคิดออกแค่นั้น และหวังลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นจริงๆ
ใครจะบอกว่าผมยอมแพ้ก็คงไม่ผิดนัก สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาทำให้ ผมไม่สามารถคิดทำอย่างอื่นได้
สองตาผมเห็นเพื่อนที่ไม่ตื่นตระหนก เขาอาจจะกลัวเหมือนผม แต่เขาก็กล้าพอที่จะอดทนอย่างสงบ มองจากเวทีตรงขอบสนามฟุตบอลด้านตึกโดม ผมเห็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่หอประชุมใหญ่นอนแน่นิ่งไปแล้ว ผมเห็นคนที่พยายามเข้าไปหลบในห้องและชั้นบนของตึกบัญชีถูกยิงล้มลง มองไปทางขวาของเวที ผมเห็นคนพยายามวิ่งและกลิ้งจาก ตึกบัญชีมาทางตึกโดมเก่า (ปัจจุบันเป็นตึกอเนกประสงค์) แต่หยุดแน่นิ่งไปเสียก่อน
มองจากหลังเวที ผมเห็นธรรมศาสตร์ถนัดตา เห็นชีวิตนับพันที่ไม่มีทางสู้ ทั้งโกรธและแค้น ผสมกับกลัวและสิ้นหวัง ผมจะปลุกขวัญให้ผู้คนสู้รบได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมหดหู่สิ้นหวังเกินกว่าจะไปสู้รบกับใครได้อีกแล้ว
ผมเหลือสติพอจะคิดได้ว่า เสียงจากเวทีจะเงียบหายไปเฉยๆ ไม่ได้ สิ่งที่ผมพูดไม่สำคัญเท่ากับเสียงจากเวทีที่ดังอยู่ตลอดเวลา เป็นเพื่อนแก่ผู้ที่ตกเป็นเป้ากระสุนอยู่ ณ ส่วนต่างๆ ของธรรมศาสตร์ ผมช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว ได้แต่ขอร้องบนความหวังที่ริบหรี่ ถ้าหากเสียงจากเวทีเงียบหายไป เพื่อนๆ อาจขวัญเสียและสับสนยิ่งขึ้นไปอีก
จริงอยู่ ผมไม่ใช่ผู้บัญชาการการชุมนุมอย่าง กองทหารหรือเรือรบ แต่ในภาวะเช่นนั้น ผมต้องไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าทุกอย่างจะยุติ
ไม่มีใครประกอบวีรกรรมใดๆ ผมไม่ได้ช่วยผู้ถูกยิงที่ไหน ไม่มีคำพูดปลุกใจสู้รบหรือกล่าวคำขวัญใดๆ อีก มีแต่คำพูดซ้ำซาก กับชีวิตสองสามชีวิต (ผม พี่ชาย และเพื่อนเทคโนฯ อีกคน) ซึ่งแต่ละคนดูเหมือนไร้ชีวิตไป แล้วครึ่งหนึ่ง
ไม่รู้เลยว่าเป็นเวลาเท่าไร
อ่านเพิ่มเติม: จิตวิญญาณประชาธิปไตยในเรื่องสั้นไทย
การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รถเมล์พุ่งเข้าพังรั้วธรรมศาสตร์ไปนานแล้ว กำลังตำรวจค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างช้ามากๆ ทีละนิดๆ ทีแรกเขาหมอบราบ คืบคลานเข้ามาพลางยิงไปพลาง ต่อมาเขาคงพบความจริงว่าไม่มีใครต้านทานเขาอีกแล้ว ตำรวจหมวกสีทองจึงขยับเป็นนั่ง ชันเข่าเรียงเป็นสองแถวตามขอบ ถนนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ ขยับเข้ามาพลางยิงไปพลาง ต่อมาเขาคงตระหนักดีว่าไม่มีใครต้านทานเขาสักนิด ตำรวจหมวกสีทองจึงลุกขึ้นยืนเรียง เป็นสองแถวตามเดิมเดินเข้ามาพลางยิงไปพลาง
ตอนที่ตำรวจคลานและนั่งชันเข่าอยู่หน้าตึกนิติศาสตร์ ผมตัดสินใจย้ายเข้าไปนั่งพูดอยู่ในตึกโดมด้านหลังเวที ก่อนหน้านั้นเพื่อนเทคโนฯ ของผมวิ่งไปมาสองสามรอบ เพื่อขนเครื่องเสียงชุดฉุกเฉิน เข้าไปตระเตรียมให้ผมพูดในตึกโดม ผมเองเสียที่นั่งพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงอะไรมากไปกว่านั้น พอวิ่งเข้าตึกโดมสำเร็จ เพื่อนเทคโนฯ ก็ยื่นไมโครโฟนตัวใหม่ให้ผม ทิ้งเครื่องเสียงชุดเก่า ไมโครโฟนเก่าอยู่หลังเวทีนั่นเอง ผมบอกให้เขาหนีไปได้แล้ว เพราะผมคงไม่ถอยไปพูดที่ไหนอีกแล้ว แต่เขายังไม่ยอมไปไหน
ผมมองดูหน้าต่างตึกโดมตลอดเวลาที่พูด ครั้นตำรวจเดินช้าๆ มาถึงหน้าตึก อมธ. ผมรู้สึกหมดกำลังที่จะพูดต่อไปแล้ว ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงที่พูดซ้ำซากเป็นคนบ้า ผมมีความหวังริบหรี่ว่าตำรวจอาจจะยอมฟังและหยุดยิง มาถึงตรงนั้นแล้วเขาได้ยินเสียงผมเต็มหู เสียงที่ร้องขอกราบกรานให้หยุดยิง แต่เขาก็ยังไม่หยุด เวทีที่ผมเพิ่งจากมาถูกยิงกระหน่ำหนัก เขาคงคิดว่าผมยังอยู่แถวนั้น
เพื่อนเทคโนฯ ของผมไปแล้ว (ผมอยากพบเขาอีกครั้งเหลือเกิน ผมยังไม่ได้ขอบคุณเขาสักคำ ที่อยู่เป็นเพื่อนจนถึงขณะนั้น)
ผมลืมคิดเรื่องเสียงเพื่อเพื่อนๆ ตามตึกต่างๆ ผมหมดแรง หมดเสียง ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว รู้แต่ว่าพูดไม่ออกเมื่อเห็นตำรวจ เดินสาดปืนซ้ายขวาหน้าตึก อมธ.
เครื่องเสียงยังใช้ได้ ผมปิดและวางไมโครโฟน
"ตำรวจปิดทางเข้าออกมหาวิทยาลัยไว้ทุกด้านตั้งแต่เวลาดึก ระหว่างเวลา 5.30–11.00 น. ตำรวจเปิดฉากใช้อาวุธสงครามหลายชนิดทั้งปืน เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนต่อสู้รถถังและระเบิดมือเข้าปราบปรามผู้ประท้วง พลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ อนุญาตให้ยิงได้อย่างเสรี เกิดการยิงปะทะระหว่างสองฝ่ายช่วงสั้นๆ ก่อนผู้ประท้วงเป็นฝ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว เป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุและขาดความชอบธรรม นักศึกษาที่ยอมจำนนแล้วและที่กำลังหลบหนีกระสุนถูกทำร้ายร่างกาย ปล้นชิงทรัพย์สิน ล่วงละเมิดทางเพศ ถูกยิง เผาทั้งเป็น และทุบตีจนตาย ส่วนศพถูกทำลายและเผา ผู้ประท้วง 3,094 คนถูกจับ ส่วนผู้ลงมือฆ่าได้รับความดีความชอบ คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองที่มีพลเรือเอก สงัด ชลออยู่เป็นหัวหน้าคณะ ยึดอำนาจในเวลา 18.00 น. โดยอ้างเหตุนักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมีอาวุธหนัก"
ต้องการความช่วยเหลือ
ผมนอนแผ่อยู่ตรงนั้นเอง ได้แต่ร้องไห้…ร้องเป็นบ้าเป็นหลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าโกรธ แค้น เสียใจ กลัว สิ้นหวัง สงสารเพื่อนที่ติดอยู่ในตึกต่างๆ ไปไหนไม่ได้ ห่วงตัวเอง หรือทุกอย่างรวมกัน
นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งพี่ชายผมมาสะกิดให้ลุกขึ้น
ได้ร้องไห้เสียพักใหญ่ๆ ผมก็รวบรวมสติให้เข้มแข็งเข้าไว้ ถึงตรงนั้นแล้วกลัวหรือกล้าก็มีค่าเท่ากัน มีสภาพไม่ต่างกัน รู้แต่ว่าเราต้องช่วยคนหนีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
มีคนวิ่งตามทางเดินภายในตึกโดม มาบอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ผมกับพี่ชายวิ่งตามเขาไป ตำรวจยังอยู่แถวหน้าตึกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนที่ตึกวารสารฯ พังช่องไม้ด้านข้างตึกเพื่อจะวิ่งหนีข้ามมาตึกโดม แต่ประตูเหล็กที่ตึกโดมปิดอยู่ เราพบนักการ 2 คนตรงนั้น จึงขอร้องให้เขาเปิดประตู ดูท่าทางเขาอยากจะช่วยเรา แต่เขาบอกว่าเขาทำไม่ได้ ยังไม่ทันได้ถามหรือต่อล้อต่อเถียง นักการคนหนึ่งก็บุ้ยใบ้ส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีขวานอยู่ใกล้ๆ นั้น พวกเราคนหนึ่งจึงจัดการพังประตูนั้นออก ชั่วครู่เดียวประตูก็เปิดเป็นช่องกว้าง ผู้คนเริ่มทยอยข้ามมาตึกโดม วิ่งพรวดๆ ไปลงสนามหญ้าหน้าโดมเพื่อออกทางประตูท่าพระจันทร์หรือหนีลงน้ำ เราไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพียงคนกลุ่มเดียว มาจากชั้นเดียวของตึกวารสารฯ ไม่มีคนวิ่งขึ้นไปบอกผู้ที่ยังติดอยู่บนชั้นบน ไม่ช้านานก็เริ่มมีกระสุนยิงเข้ามาตรงช่องระหว่างตึกทั้งสอง ไม่มีใครข้ามมาตึกโดมอีก
ผมกับพี่ชายคิดว่าไม่มีคนในตึกวารสารฯ อีกแล้ว จึงวิ่งตามคนอื่นออกจากตึกโดม ผ่านสนามหน้าโดม (ปัจจุบัน คือ ลานปรีดี) ไปถึงริมน้ำ เห็นผู้คนลงน้ำเดินเลาะริมฝั่งจากบริเวณตึกเศรษฐศาสตร์มาขึ้นฝั่งที่บริเวณตึกศิลปศาสตร์ เราได้ยินว่าสนามหญ้าหน้าโดมไม่ปลอดภัยที่จะเดินผ่าน ส่วนประตูท่าพระจันทร์นั้น ผมมารู้ภายหลังว่าปิดๆ เปิดๆ หลายคราว คือยอมให้นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้วก็ปิด ต่อมาก็ยอมให้ผู้หญิงออกไปได้จนมีผู้คนกรูออกไปโดยไม่ถูกจับกุมเพราะตำรวจยังไม่ทันตั้งตัว หลังจากนั้นก็ปิดประตู แล้วก็ยอมให้คนออกไปได้อีก แต่คราวนี้ต้อนทุกคนไปที่ถนนมหาราชข้างวัดมหาธาตุ แล้วก็ปิดประตูอีกเป็นต้น
ผมกับหง่าวกระโดดลงน้ำ แต่ไม่ได้ไปไหน เราลงไปช่วยดูแลให้ผู้คนขึ้นฝั่งที่ศิลปศาสตร์เพื่อไปออกประตูท่าพระจันทร์ เวลานั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออกไปแล้วจะถูกจับเรียงรายในถนนตรงนั้นเอง ผมพบเพื่อนสนิทสองสามราย แต่เราไม่ได้พูดกันสักคำเดียว เพียงแต่จับมือปลอบขวัญให้กำลังใจกันแค่นั้น จนกระทั่งคนที่เดินเลาะริมฝั่ง น้ำขึ้นไปหมดแล้ว ผมกับหง่าวจึงขึ้นฝั่ง
ผมเข้าใจเอาง่ายๆ ว่า คนจากทางตึกเศรษฐศาสตร์คงเดินมาหมดแล้ว ไม่ได้เข้าใจความสับสนอลหม่านของสภาพแบบนี้ว่าบางคนลงน้ำเลาะมาเป็นกลุ่มๆ บางคนอาจวิ่งตัดลัดเลาะมาตามสนามหญ้าหน้าตึกโดม คนอีกมากไม่ไปไหน ยังอยู่บริเวณตึกเศรษฐศาสตร์เหมือนกับที่ผมเข้าใจผิดว่าคนจากตึกวารสารฯ ออกมาหมดแล้ว ผมเข้าใจเหลือแต่เพียงผู้คนที่ตึกบัญชีเท่านั้นที่ยังคงไปทางไหนไม่ได้ทั้งสิ้น นอกนั้นออกจากธรรมศาสตร์ไปหมดแล้ว
ยังไม่ทันที่เราจะวิ่งออกไป ประตูท่าพระจันทร์กลับปิดลงอีกครั้ง ตำรวจยิงกราดเข้ามาทางนั้น คนที่ยังออกไปไม่ได้รวมทั้งผมกับหง่าวจึงถอยกลับมาตั้งหลักที่บริเวณคอมมอนรูมคณะศิลปศาสตร์ เราเห็นเรือตำรวจอยู่กลางแม่น้ำ มีตำรวจอยู่คนหนึ่งบนท่าเรือพรานนก พอเขาเห็นพวกเราเขาก็กราดกระสุนมาอย่างไม่ได้เล็งหรือตั้งใจยิงนัก เป็นอันว่าเราติดอยู่ตรงนั้น อาศัยเสาตึกเป็นที่กำบัง
เพียงครู่เดียวตำรวจรายนั้นก็ ถอนตัวไปไหนไม่ทราบ จั๊ว-เจ้าของร้านอาหารบริเวณท่าเรือ โผล่หน้ามาพยักพเยิดให้พวกเราไปได้ พวกเราทั้งกลุ่มกระโดดลงน้ำอีกครั้ง ว่ายไปถึงบริเวณร้าน จั๊วช่วยดึงผู้คนขึ้นฝั่งเป็นพัลวัน เขาบอกให้เดินเลาะซอยริมน้ำออก ไปทางศูนย์พระเครื่อง อย่าออกไปถนนมหาราชเพราะตำรวจจะจับหมด
บ้านผมอยู่ตรงซอยริมน้ำนั่นแหละ ผมจะวิ่งเข้าไปเคาะประตูบ้าน หง่าวร้องเตือนว่าอย่าเข้าบ้าน ให้วิ่งต่อไป ผมงงนิดๆ คิดไม่ทันและไม่ทันคิดว่าทำไม นับจากหยุดร้องไห้ในตึกโดมผมรวบรวมสติได้พอควร แต่เหมือนกับผมปล่อยสมองทิ้งไว้ ตรงนั้น ผมคิดไตร่ตรองอะไรไม่ออก หง่าวบอกว่าให้วิ่งต่อผมก็วิ่งต่อ มารู้ภายหลังว่าตำรวจตามมาที่บ้านจริงๆ กวาดเอาคนที่หลบซ่อนอยู่ในบ้านผมไปหมด ที่เลวร้ายกว่านั้น คือพี่ชายผมอีกคนเปิดประตูให้ตำรวจ จึงถูกตำรวจทุบตี เอาบุหรี่จี้ แล้วจับตัวไป พี่ชายคนนี้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมนักศึกษาเลย แต่กลับมารับเคราะห์ไปด้วย น้องสาวผมคนหนึ่งอยู่ในธรรมศาสตร์ทั้งคืน และพาเพื่อนหลายคนเข้าไปหลบในบ้าน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วและแม่ปกป้องไว้แน่นจึงไม่ถูกจับกุมตัวไป นึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน ถ้าหากเช้าวันนั้นผมและพี่ชายกลับบ้าน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
เสียงปืนจากตึกบัญชี
เราวิ่งไปถึงศูนย์พระเครื่องซึ่งเวลานั้นเป็นตลาดเปิดโล่ง ร้านรวงน้อยกว่าปัจจุบัน มีผู้คนอยู่ตรงนั้นมากมายแต่ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว หากออกไปทางถนนมหาราชก็จะถูกจับ ไม่ก็ต้องลงน้ำตรงท่าเรือหางยาว (ปัจจุบันเป็นท่าเรือข้ามฟาก) ผมร้องไห้และตะโกนด่าตำรวจอีกครั้ง ด้วยความโกรธแค้น ผมพยายามบอกตัวเองให้เข้มแข็งเข้าไว้ แต่รู้สึกถึงขีดแล้วจริงๆ หลังจากนี้สมองที่ว่าตื้อยิ่งตื้อ เข้าไปอีก ผมยังมีสติรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกประการ แต่สมองหนักอึ้งจนคิดอะไรไม่ได้ อีกเลย
ตำรวจกำลังเตรียมบุกเข้ามาทางด้านหน้าศูนย์พระเครื่อง พวกเราระดมเคาะประตูร้านรวงแถวนั้น ขอร้องให้เขารับพวกเราเข้าไปชั่วคราว ผมพบเพื่อนสามสี่คนที่ร่วมรับผิดชอบการชุมนุมคราวนั้น เขาคงออกมาจากธรรมศาสตร์ไล่เลี่ยกับผมเมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว จำได้ถนัดว่ามีเทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ, ประสาร, สินสวัสดิ์, วัฒนชัย เวชชยชัย (ชื่อขณะนั้น) และหากจำไม่ผิด หมอพรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช ก็อยู่ตรงนั้นด้วย
ผมไม่ทราบว่าเราอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร ก่อนที่ตำรวจจะเริ่มยิงเข้ามาจากทางด้านหน้า เพื่อนทั้งสามสี่คนนั้นบอกให้ผมกับหง่าวลงน้ำหนีต่อไป ผมก็ทำตาม ไม่นานนักหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดลงบริเวณที่เพิ่งจากเพื่อนๆ มา (หลายปีต่อมาจึงรู้ว่าชาวบ้านบริเวณนั้นรับพวกเขาหลบเข้าไปก่อนที่ตำรวจจะบุกเข้ามา ไม่มีใครถูกกระสุนหรือระเบิด)
เดินลุยน้ำใต้บ้านเรือนริมฝั่ง ไปได้ไม่ไกลเลย ก็พบ ตชด. รายหนึ่งจ่อปืนลงมายังกลุ่มที่พวกเราเดินกันอยู่ มีคนหนึ่งในกลุ่มได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าจะเหยียบหรือถูกอะไรใต้น้ำตำเท้า เขารั้งตัวเองขึ้นไม่ไหว จึงถูก ตชด. เอาปืนจ่อและตะคอก พวกเราตกใจมาก ช่วยกันดุนดันเขาขึ้นฝั่งจนสำเร็จ พี่ชายผมขึ้นฝั่งตามผมมาติดๆ มี ตชด. เรียงรายอยู่ในซอยนั้น คอยร้องขู่ตะคอกให้พวกเราวิ่งออกไปนอนคว่ำหน้ารวมกับคนอื่นในถนนมหาราช
เสียงปืนถล่มตึกบัญชียังดังสนั่น ตำรวจสั่งการทางเครื่องขยายเสียงเป็นระยะๆ ว่าจะยิงถล่มเข้าไป ผมไม่รับรู้อีกแล้วว่าใครยิงจากตรงไหน หรือยิงสลับไปมาระหว่างด้านนอกกับด้านในธรรมศาสตร์ ผมเพลียเหลือเกินทั้งกาย ใจ และสมอง ตำรวจสั่งให้ก้มหน้าติดพื้นห้ามเงยขึ้นมาดูอะไรทั้งสิ้น ถึงไม่ต้องสั่งในเวลานั้นผมเองก็ไม่อยากจะเห็น หรือได้ยินอะไรอีกเลย ตำรวจกราดกระสุนเข้าใส่กำแพงวัดในระดับเหนือร่างของพวกเราเป็นระยะ นัยว่าเพื่อไม่ให้พวกเราลุกขึ้นหรือโงหัว เสียงด่าอย่างสาดเสียเทเสียมีอยู่ตลอดเวลา
มีตำรวจมาเรียกหาพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ (นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะนั้น) กับธงชัย หง่าวอยู่ทางขวาของผม ยกท่อนแขนกดไหล่กดคอผมไว้ สักครู่ผู้ชายที่อยู่ทางซ้ายซึ่ง ผมไม่เห็นหน้าเลยว่าเป็นใคร ก็เคลื่อนเข้าประชิดตัวผม ยกแขนของเขาพาดกดไหล่ผมไว้เช่นกัน ผมยังนอนนิ่งๆ ไม่ใช่เพราะฉลาดหรือคิดอย่างไร จึงอยู่เฉยๆ แต่เพราะผมไม่ได้คิดอะไรอีกแล้วต่างหาก
ฝันร้ายของการลงประชาทัณฑ์และการเผา
หลังเสียงปืนสงบ เรายังคงนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นอีกนาน รู้สึกเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ในตอนนั้นจะเป็นเวลาเท่าไรไม่ทราบ จำได้ว่าตัวเองหลับไปงีบหนึ่ง สะดุ้งขึ้นมาอย่างมึนงงไปหมด จะว่าสมองผมไม่คิดอะไรก็คงไม่ถูกนัก เพราะขณะนอนอยู่ข้างวัดมหาธาตุนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา และปฏิเสธที่จะออกไปให้พ้นจากชีวิตผม มันรบเร้ารุนแรงบ้าง หายไปเป็นปีบ้าง แต่มักแวะมาเยี่ยมเยือนตอนต้นเดือนตุลาคมของทุกปี
ผมไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างผมเขาจะคิดอย่างไร ที่คนปากกล้าบนเวทีตลอดหลายวันที่ผ่านมายังไม่ตาย เพียงแต่ปีกหักสิ้นสภาพกองอยู่กับพวกเขาตรงนั้น ผมนึกสมเพชตัวเอง ละอายใจ และรู้สึกผิด ผมน่าจะทำได้ดีกว่าพูดซ้ำซากขอชีวิตอย่างนั้นไหม? ผมควรจะอยู่ข้างในธรรมศาสตร์ ผมไม่น่าทอดทิ้งเพื่อนที่ตึกบัญชีเลย ผมหนีออกมาทำไม? ทำไมผมยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่หลายชีวิตในธรรมศาสตร์จากไปไม่มีวันกลับ? ผมเสียใจแต่ผมก็กลัว
เวลาเนิ่นนานในรถเมล์ที่พาเราไปบางเขน ความรู้สึกเช่นนั้นวนเวียนอยู่ ตลอดเวลาจนจิตใจด้านชา ผมสับสนจนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น จำได้ว่าวิ่งลงจากรถเข้าเรือนจำที่บางเขน ถูกตำรวจเรียงแถวเตะต่อย แต่ผมกลับจำไม่ได้เลยว่ารู้สึกเจ็บ ใจผมหลุดลอยไปแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งสมองทั้งใจเฝ้าคิดแต่ว่าทำไม ผมไม่อยู่ในธรรมศาสตร์? ผมหนีออกมาทำไม?
ผมกับหง่าวอยู่ในห้องขังเดียวกัน เรานั่งเกาะลูกกรงอยู่เป็นวันๆ ผมจำไม่ได้ว่าร้องไห้อีกหรือเปล่า คิดว่าไม่คุยอะไรกับหง่าวอีกไหม ก็ออกจะเลือนๆ คิดว่าไม่ได้คุยเท่าไรนัก จำไม่ได้ว่ารู้สึกกลัวหรือคิดว่าตัวเองจะเจออะไรต่อไป เพราะดูเหมือนจิตใจจะหลุดลอยจนเย็นชาไปหมดแล้ว ผมคิดว่าไม่ได้หันไปคุยกับใคร และจำไม่ได้เลยว่าเห็นหน้าใครในห้องขังบ้าง
ผมยังรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราช่วยกันแจกจ่ายข้าวห่อ สามวันต่อมาตำรวจทำทะเบียนผู้ถูกจับกุมมาถึงห้องที่ผมอยู่ จึงเพิ่งพบว่า “ธงชัยถูกจับแล้ว” วันถัดมาเขาอ้างว่าจะมีการชิงตัวพวกตัวการ จึงพาพวกเราแยกย้ายไปตามโรงพัก ต่างๆ แห่งละ 1-2 คน รถที่นำพวกเราไปมีตำรวจนำหน้า แล่นฉิวราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย ผมนึกว่าเวลาของผมมาถึงแล้ว แต่เขาเพียงพาผมไปขังไว้ที่โรงพักนางเลิ้งคืนหนึ่ง แล้วพากลับมารวมกันที่บางเขนตามเดิม ตลอดเหตุการณ์เช่นนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญอะไร เลย ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลยต่างหาก
ได้กลับมารวมอยู่กับเพื่อนที่รู้จัก ทั้งประยูร อัครบวร, อภิชาติ ชอบชื่นชม, สมศักดิ์, สมชาย หอมลออ และอีกหลายคนที่ถูกขังรวมกันใน ฐานะ “ตัวการ” ผมจึงรู้สึกได้รับความเข้มแข็งของพวกเขาไปด้วย ในระยะแรก เราไม่พูดกันสักคำว่าจะเกิดอะไร ขึ้นกับพวกเรา แต่สำหรับผ อย่างมากก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกินไปกว่าสิ่งที่ผมควรจะต้องเผชิญหากยังคงอยู่ในธรรมศาสตร์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
หลายปีต่อมาเมื่อความโกรธแค้นยังคงอยู่
หลายปีต่อมา ความรู้สึกโกรธแค้นยังคงอยู่ ความหวังว่าชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จะตอบแทนความทารุณโหดร้ายที่กระทำต่อพวกเรา ช่วยกดเก็บความสับสน และรู้สึกผิดที่หนีออกมาจากธรรมศาสตร์เอาไว้ได้พอควร แต่เมื่อมันเป็นความหวังที่ไร้เดียงสาและน่าอเนจอนาถไปอีกแบบ จนความหวังนั้นล่มสลายในเวลาต่อมา ความสับสนและรู้สึกผิดก็เริ่มกลับ มาเยี่ยมเยือนผมอีกครั้ง ฝันร้ายเริ่มกลับมาหาผมบ่อยขึ้น
อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ เช้าวันที่ 6 ตุลาคม เมื่อปี 2537 ผมเดินเลียบแม่น้ำ Swan เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย นั่งคิดเงียบๆ คนเดียวอยู่นาน ความรู้สึกผิดที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่กลับมาท้าทายผมอีก ต้นปี 2539 นี้เอง ผมเดินอยู่ใน historical park แห่งหนึ่งกลางเมืองบอสตัน แต่ใจกลับคิดถึงอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมผมจึงมีโอกาสมาพบความสงบงดงามอยู่คนเดียวเช่นนั้น
ไม่นานมานี้ เพื่อนโทรศัพท์มาบอกข่าวเรื่องคุณพ่อคุณแม่ของจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อนผู้ถูกยิงแล้วถูกลากคอไปตามสนามในเช้าวันนั้น เพราะเขาทำหน้าที่ของเขาจนวินาทีสุดท้ายคือจะต้องออกจากตึกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นคนสุดท้าย ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากผมพบท่านทั้งสอง ผมจะบอกท่านอย่างไรว่าทำไมจารุพงษ์ จึงไม่ได้กลับบ้าน
ประวัติศาสตร์ช่างโหดร้ายเหลือเกิน ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
ทุกวันนี้ผมพอบอกตัวเองได้ว่า จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่ผมกลับตอบไม่ได้ว่าทำไมผมจึงยังมีชีวิตอยู่
http://www.2519.net/autopage/show_page.php?t=3&s_id=49&d_id=50
จารุพงษ์ ทองสินธุ์ จากแฟ้มภาพ บันทึก 6 ตุลา