ส้มจีน
Home Short Story ส้มจีน

ส้มจีน

เรื่องสั้นโดย ศวา เวฬุวิวัฒนา

by Admin
55 views 5 mins read

ส้มจีน

โดย ศวา เวฬุวิวัฒนา

ถึงจะไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไร แต่วันคริสต์มาสก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนอยู่ดี พอพ่อโทรศัพท์มาขอให้ช่วยเฝ้าบ้านให้ ก็เลยต้องจำใจกลับมา พ่อกับแม่จะไปเชียงรายกันน่ะ พ่อพูดด้วยรอยยิ้มนิ่งๆ ขรึมๆ ตามบุคลิกของแก อืม ฉันตอบ แต่ตามองพื้น มดคันไฟตัวเล็กๆ กำลังช่วยกันขนอะไรสักอย่างเป็นขบวนยาว พูด ‘ค่ะ’ น่ะเป็นไหม เป็นผู้หญิงต้องรู้จักพูดเพราะๆ เข้าไว้นะ จะสามสิบแล้ว เสียงแหลมๆ ของแม่ดังแทรกขึ้นมา เมื่อไหร่ลูกคนนี้จะแต่งงานเสียทีนะ ฉันรู้ว่าแม่กำลังคิดอย่างนั้น แต่เพราะเกรงใจพ่อที่อยู่ข้างๆ ก็เลยไม่ได้พูดออกมา ค่ะ ฉันตอบเน้นคำ ตายังก้มมองพื้น มดคันไฟพวกนั้นเดินห่างออกไปแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ

“ดูแลส้มจีนด้วย” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงแบบเดิม ยิ้มขรึมๆ ยังไม่จางไปจากริมฝีปาก ค่ะ ฉันตอบแล้วชำเลืองมองแม่ ค่ะ ฉันตอบเน้นคำกับแม่อีกที ตอบแบบนั้นไปทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน จากนั้นพ่อก็ขับรถเชฟโรเล็ตคันใหญ่ออกจากบ้านไป โดยมีแม่นั่งอยู่ข้างๆ และฉันโบกมืออำลาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ พอได้ยินเสียงรถเลี้ยวออกจากซอยบ้าน ฉันถอนหายใจหนักหน่วง ก้มหน้ามองพื้นอย่างเบื่อหน่าย มดคันไฟขบวนนั้นเดินลับตาไปแล้ว จึงเหลือแค่ฉันยืนอยู่หน้าบ้าน เศษใบไม้แห้งต้องลมหนาวเสียงดังแกรกกราก

ดูแลส้มจีนด้วย คือหน้าที่ที่พ่อฝากไว้ให้ ส้มจีนเป็นแมว พันธุ์อะไรก็ไม่รู้ น่าจะหลายๆ พันธุ์ผสมกัน ฉันรู้ พ่อกับแม่เรียกฉันกลับมาบ้านเพื่อให้เฝ้าแมว ไม่ใช่เฝ้าบ้าน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ พ่อกับแม่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ และฉันเองก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนด้วย แฟนก็ไม่มี ว่าแล้วก็ถอนหายใจเสียหน่อย แต่ทำไมฉันต้องถอนหายใจด้วยนะ

หนูไม่ชอบแมว ฉันพูดกับแม่ตอนได้ยินว่าบ้านเราจะเอาแมวมาเลี้ยง แทนเจ้าแทงโก้ หมาพันธุ์ดัลเมเชี่ยนที่เพิ่งตายไปเพราะโดนงูเห่ากัด ช่วงนั้นเป็นหน้าฝน ฝนตกหนัก งูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เลยชุม หนีน้ำท่วมจากท่อระบายบ้าง จากคลองเล็กข้างๆ บ้านฉันบ้าง เข้ามาเพ่นพ่านในบ้านของฉัน แทงโก้ดูซึมไปนะ แม่ ฉันจำได้ว่าพูดกับแม่อย่างนั้น มันไม่เป็นอะไรหรอก แค่แม่ไม่ยอมให้มันกินกระดูกไก่ก็เท่านั้นเอง แม่พูดด้วยสีหน้าไม่เป็นกังวล แต่พอถึงคราวจะต้องเป็นกังวลขึ้นมาจริงๆ เจ้าแทงโก้ก็ไม่อยู่กับเราแล้ว

ผ่านไปไม่ถึงสามเดือน แม่ก็โทรศัพท์มาบอกฉันถึงออฟฟิศว่าจะเอาลูกแมวตัวหนึ่งมาเลี้ยง แถมยังตั้งชื่อให้เสร็จสรรพว่า ส้มจีน ตัวมันสีส้มๆ ชอบนอนขดตัวกลมๆ ก็เลยตั้งชื่อนี้ให้มัน แม่พูดไปหัวเราะไป สมาชิกใหม่ตัวนี้คงถูกใจแม่มาก “แต่หนูไม่ชอบแมว หนูชอบหมามากกว่า” ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ปกติเธอก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยๆ อยู่แล้ว จะชอบแมวหรือชอบหมาก็ไม่เห็นต่างกันตรงไหน “แล้วพ่อล่ะ ว่าอย่างไรบ้าง” ฉันถามไปอย่างนั้นเอง รู้อยู่แก่ใจว่าพ่อก็คงเอาแต่ยิ้มนิ่งๆ ขรึมๆ ตามบุคลิกของเขา ฉันพูดกับแม่อีกคำสองคำแล้ววางสาย โทรศัพท์หลายเครื่องส่งเสียงแข่งกันทั่วออฟฟิศ

ส้มจีนขดตัวอยู่บนเบาะนอน มองไกลๆ เห็นเป็นก้อนกลมๆ สีส้มๆ อย่างแม่ว่า ส้มจีน ฉันเรียก ไม่มีการตอบรับ ส้มจีน ฉันเรียกอีก เปล่งเสียงดังขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ ตอบกลับ เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงไม่ชอบแมว ถ้าเปลี่ยนเป็นหมา อย่างน้อยก็คงกระดิกหางรับบ้าง

แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง แมวจะตอบสนองต่อเสียงโทนแหลมสูงได้ดีกว่าเสียงทุ้มต่ำ “ส้มจี๊น” นั่นไง เจ้าแมวตัวสีส้มแกว่งหางไปมาเล็กน้อย เหมือนส่วนปลายของก้อนไหมพรมโดนลมพัด ก้อนกลมสีส้มนั้นชะโงกหัวออกมา ดวงตาสะลึมสะลือ หูตั้ง อ้าปากหาวหวอด แล้วจ้องมองมาทางฉันเหมือนต้องการถามว่า มีอะไร เป็นคำถามห้วนๆ ไม่มีหางเสียง หนอย ยังมาทำตาขวางใส่ฉันอีก เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้เกลียดแมว แกน่ะ สู้เจ้าแทงโก้ไม่ได้เลยสักนิด

ฉันเดินลงส้นดังตึงๆ ผ่านเบาะนอนของมันไป ชะโงกมองชามใส่อาหารสีฟ้าและถ้วยใส่น้ำพลาสติกใสที่วางอยู่บนพื้น ติดกับผนังบ้าน ไม่ห่างจากเบาะนอนของเจ้าแมวมากนัก ในชามเหลืออาหารเม็ดกลมๆ อยู่สองสามเม็ด น้ำดื่มในถ้วยเหลือน้อยเต็มที ฉันหันกลับมามองส้มจีน มันจ้องหน้าฉัน แล้วก็จ้องชามอาหาร หางยังแกว่งไกวไปมาเหมือนปลายของก้อนไหมพรม

ฉันก้มลงหยิบถุงรอยัลคานินขึ้นมา – ข้างถุงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า แคลลอรี่ คอนโทรล – เปิดซิปล็อคออกแล้วเทใส่ชาม อาหารแมวเม็ดเล็กๆ พรูกระทบชามพลาสติกดังก๊อกแก๊กๆ ส้มจีนลุกขึ้นยืนสี่ขาอย่างเนิบช้า ยืดขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย เหมือนคุณชายเพิ่งตื่นบรรทม ฉันจ้องมองมันด้วยสีหน้าและแววตาไร้อารมณ์ (หรืออย่างน้อยฉันก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ดูไร้อารมณ์) แล้วก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า มันเป็นแค่แมว ถึงจะใส่อารมณ์จริงจังกับมันไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกแมวน่ะไม่รู้จักความรักหรอก ไม่เหมือนหมา ฉันคิด ไม่เหมือนเจ้าแทงโก้

เช้าวันถัดมา กรุงเทพฯ หนาวขึ้นอีกนิดหน่อย พยากรณ์อากาศในทีวีบอกว่าปีนี้อุณหภูมิอาจลดลงต่ำถึง 10 องศาเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นหิมะก็คงไม่ตก (ทั้งๆ ที่ฉันภาวนาให้หิมะตกมาหลายปีแล้ว) ฉันตื่นขึ้นมาเปิดประตูบ้านรับลมหนาวตั้งแต่เช้า ใบแก่ๆ ของต้นมะม่วงหน้าบ้านร่วงผล็อยๆ ทุกครั้งที่ลมพัด ฉันก้มมองดูใบไม้สีน้ำตาลเหล่านั้นต้องลมหนาวดังแกรกๆ ขบวนมดคันไฟกำลังแบกอะไรสักอย่างผ่านหน้าฉันไป จู่ๆ ฉันก็อยากร้องถามพวกมันว่ากำลังแบกอะไร แต่ไม่ถามดีกว่า

วันนี้เป็นคริสต์มาสอีฟ ฉันกำลังชั่งใจว่าจะไปโบสถ์ตอนค่ำๆ ดีไหม ฉันไม่ได้ร่วมพิธีมิสซามาสามเดือนแล้ว พระเจ้าคงโกรธฉันแล้วแน่ๆ ฉันก็เลยโดนสาปให้ต้องมาดูแลแมวสีส้มอยู่คนเดียวช่วงคริสต์มาส พวกแม่มดที่โดนเผาในศตวรรษที่ 16 ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวกับแมวทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองยังไง แมวก็เป็นตัวแทนของโชคร้าย เอาแต่ใจ รักใครไม่เป็น ว่าแล้วก็ถอนหายใจเสียหน่อย สงสัยค่ำนี้ฉันคงต้องไปโบสถ์แล้วจริงๆ

ส้มจีน ฉันร้องเรียกขณะเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับ เป็นไปตามคาด ส้มจี๊น ฉันลองเรียกอีกหน ให้เสียงสูงแหลมตรงตามตำรา คราวนี้มีปฏิกิริยาตอบรับ เจ้าแมวสีส้มส่งเสียงร้อง เมี๊ยว เมี๊ยว มาแต่ไกล แม้จะยังไม่เห็นตัวก็ตาม ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องกำลังวนเวียนอยู่แถวๆ ชามอาหารเป็นแน่ แต่พอฉันเดินไปถึงกลับไม่เห็นเจ้าแมวส้มแม้แต่เงา ส้มจี๊น เมี๊ยว เสียงดังแว่วมาจากซอกแคบๆ ด้านหลังเครื่องซักผ้า ส้มจี๊น ฉันลองเรียกดูอีกครั้งให้แน่ใจ เมี๊ยว ตามด้วยเสียงเคลื่อนไหวดังกุกกัก เจ้าแมวสีส้มคงกำลังเล่นซนอะไรสักอย่าง ตัวเลยชนเข้ากับด้านหลังของเครื่องซักผ้า ฉันก้มมองชามอาหารว่างเปล่ากับถ้วยน้ำพลาสติกแห้งขอด เมื่อวานฉันเทอาหารให้น้อยเกินไปหรือเปล่านะ พลางโน้มตัวลงหยิบถุงรอยัลคานินสูตรแคลลอรี่ คอนโทรลขึ้นมา แกะซิปล็อคออกแล้วเทเม็ดอาหารใส่ชาม คราวนี้ให้มากกว่าเมื่อวานหน่อย จากนั้นจึงหยิบถ้วยใส่น้ำ

แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ตึง ดังสนั่นแล้วพลันเงียบหาย ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหว ฉันนิ่งเงี่ยหูฟังอยู่ชั่วอึดใจ จึงวางถ้วยพลาสติกลงที่เดิม แล้วเดินตรงไปยังเครื่องซักผ้า แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปถึง อุ้งเท้าเล็กๆ ของเจ้าแมวสีส้มก็ก้าวพ้นซอกนั้นออกมา เท้าฉันหยุดกึก ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ เย็นวาบแถวสันหลัง

ไอ้แมวบ้า นั่นแกคาบตัวอะไรออกมาน่ะ

สีดำสนิท ตัวยาวราวไม้บรรทัด ผิวหนังต้องแสงเป็นมันวาว มีของเหลวขุ่นคล้ำหยดออกมาด้วย ฉันระลึกได้ทันทีว่านั่นคือตัวอะไร – ครั้งหนึ่ง เจ้าแทงโก้ต้องจากเราไปก็เพราะมัน

วันนั้นทั้งวันฉันกินอะไรไม่ลง ฉันไม่ใช่คนกลัวสัตว์เลื้อยคลานพรรค์นั้น แต่ฉันสะเทือนใจ ดังนั้นหลังจากเก็บกวาดซากสัตว์ตายนั่นแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองซึมลงอย่างเห็นได้ชัด สมัยก่อนเจ้าแทงโก้ก็ซึมอย่างนี้ บางทีพระเจ้าอาจจะสาปฉันแล้วจริงๆ

ฉันไม่แตะต้องเจ้าแมวสีส้มนั่นอีกเลยตลอดทั้งวัน พอเอาถ้วยพลาสติกไปเติมน้ำให้เสร็จ ก็ไม่มองหน้ากันอีก ฉันรู้สึกงี่เง่าอยู่บ้างนิดๆ ที่ไปใส่อารมณ์กับแมวแค่ตัวเดียว ทว่าอารมณ์สะเทือนใจนั้นก็เป็นของจริง และความรู้สึกหดหู่นี่ก็ของจริงเช่นกัน ฉันจึงตัดสินใจถอยออกมาตั้งหลักก่อนดีกว่า

ฉันขังตัวเองอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ในห้องตลอดบ่าย จนถึงตอนเย็นได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องโครก จึงเปิดประตูออกจากที่คุมขัง ตรงเข้าไปหาอะไรกินจากตู้เย็นในครัว ระหว่างทางจำเป็นต้องผ่านเบาะนอนของเจ้าแมวส้ม เห็นมันส่งสายตามองมาด้วยแววตาแปลกๆ มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่น่ะ ไม่มีทางเสียหรอก ฉันต้องคิดไปเองแน่ๆ แมวจะรู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร มันคงกำลังโกรธฉันอยู่มากกว่าที่กวาดของเล่นของมันทิ้งไป ฉันจึงเพิกเฉยต่อแววตาคู่นั้น ย่ำเท้าเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบนมพร่องมันเนยจากชั้นวางขึ้นมาเทใส่แก้ว แล้วปล่อยให้ของเหลวสีขาวนั้นไหลผ่านคอลงไป ฉันปาดหลังมือเข้ากับริมฝีปาก เก็บกล่องนมกลับที่เดิม ปิดตู้เย็นแล้วเดินกลับห้อง ระหว่างทางเห็นเจ้าแมวสีส้มยังคงมองมาทางฉันด้วยแววตาแบบเดิม – แววตาอันชวนให้ใจอ่อน และฉันยังสังเกตเห็นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ส้มจีนซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เป็นไรหรอกน่ะ แค่ฉันเอาของเล่นชิ้นใหม่ของมันไปทิ้งก็เท่านั้นเอง

ค่ำนั้นฉันตัดสินใจไม่ไปร่วมมิสซา ตะกอนของความสะเทือนใจยังหลงเหลือ ฉันขอเวลาทำใจอีกสักนิดแล้วกัน พระเจ้าคงไม่ถึงกับโมโหมากหรอก… มั้ง

เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นตอนสามทุ่มสิบสามนาที ปลายสายฝั่งโน้นคือพ่อกับแม่ สิ่งแรกที่แม่ถามฉันคือ “ส้มจีนเป็นอย่างไรบ้าง” “ไม่ถามสักคำว่าหนูกินข้าวหรือยัง” ฉันพ้อใส่ แม่หัวเราะ ฉันจึงถือโอกาสเล่าเรื่องเหตุการณ์วันนี้ให้ฟัง “ว่าไงนะ” เสียงแหลมๆ ของแม่แผดดังผ่านสายโทรศัพท์ “โดนกัดหรือเปล่า” “หมายถึงหนูหรือแมวล่ะ” ฉันตอบกลับอย่างใจเย็น ไร้อารมณ์ (หรือไม่ก็กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ฟังดูไร้อารมณ์) “ยังจะมาพูดเล่นอีก” เสียงของแม่ดังจนเหมือนตะโกน จนฉันต้องเคลื่อนหูโทรศัพท์ออกห่าง ด้วยกลัวว่าแก้วหูจะฉีกเสียก่อน “ไม่เป็นไรหรอก แม่” พูดจบฉันก็นึกขึ้นมาได้ และหลุดปากออกมาว่า “แต่เหมือนจะดูซึมๆ ไปนะ” นั่นไง แม่ว่า เธอจำไอ้แทงโก้ไม่ได้เหรอ ฉันรู้สึกแปลบๆ ขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้จากปากแม่ จากนั้นความรู้สึกละอายใจก็ไหลมาแทนที่ ฉันบอกให้แม่ถือสายรอ ฉันจะไปตรวจร่างกายเจ้าแมวสีส้มให้

ส้มจีน เขียนโดย ศวา เวฬุวิวัฒนา
#image_title

ฉันเดินไปถึงเบาะนอนของส้มจีน และนึกขึ้นมาได้ว่า ตั้งแต่กลับบ้านมา ฉันยังไม่ได้สัมผัสตัวเจ้าแมวเลย แค่เอาอาหารกับน้ำไปวางให้เฉยๆ แค่นั้น ส้มจีนยังคงมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนเดิม ฉันชะโงกหน้าไปดูชามอาหาร ยังพูนอยู่อย่างไรก็พูนอยู่อย่างนั้น ความหวั่นเกรงค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ฉันเริ่มเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเองเสียแล้ว ฉันสบตากับเจ้าแมวเหมียว จินตนาการไม่ออกว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าอย่างไร รอช้าไม่ได้อีกแล้ว ฉันทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เบาะนอน สอดสองมือเข้าตรงซอกขาหน้า แล้วจับตัวมันยกขึ้น ส้มจีนยังมองฉันตาไม่กระพริบ ขนบางเส้นหลุดร่วงและลอยไปในอากาศ

ฉันจับเจ้าแมวส้มหมุนซ้ายหมุนขวาและพลิกไปมาหลายท่า ลองจับมันนอนแล้วเสยขนตรงนั้นตรงนี้ ผ่านไปเกือบสิบนาที จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีบาดแผล ฉันพรูลมหายใจหนักหน่วง รู้สึกราวท่อนไม้ที่เคยตอกตรึงอยู่กลางหลังถูกยกออกไป ฉันดันตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ ตั้งใจจะเดินไปแจ้งข่าวดีกับแม่ที่กำลังกระวนกระวายใจอยู่อีกฟากของสายโทรศัพท์ แต่ขณะฉันก้าวเดิน ส้มจีนก็ร้องเมี๊ยว ฉันหันขวับ รู้สึกได้ถึงความแปลกแปร่งผิดปกติในน้ำเสียงนั้น

ฉันสบตากับเจ้าแมวเหมียว รู้สึกราวเข้าใจอะไรบางอย่างในความไม่ปกตินั้น แต่แล้วฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันพบว่าตัวเองยังไม่เข้าใจอะไรเลย

เช้าวันคริสต์มาส กรุงเทพฯ หนาวกว่าทุกวัน แต่มดคันไฟขบวนนั้นยังทำงานกันแข็งขันเหมือนเดิม ฉันเหม่อมองพวกมันอย่างไร้ความหมายสักพัก แล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน เข้าไปตรวจดูเจ้าแมวสีส้มให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันยังไม่ได้จากเราไปไหน ฉันมองดูก้อนกลมสีส้มนั้นพองตัวและยุบตัวเป็นจังหวะ จึงถอนหายใจ แล้วชะโงกมองชามอาหาร โล่งอกไปที อาหารพร่องไปมากจากเมื่อวาน

ฉันเดินไปหยิบถุงรอยัลคานินมาเทเติมให้ เสียงเม็ดอาหารกระทบชามพลาสติกดังก๊อกแก๊กๆ ฉันหันมองไปทางส้มจีน หางของมันไหวไปมาช้าๆ เหมือนส่วนปลายของก้อนไหมพรมต้องลมพัด จากนั้นจึงยืดแข้งยืดขาบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน แล้วขดตัวเป็นก้อนกลมสีส้มดังเดิม อากาศดีจริงๆ ขนาดแมวยังนอนตื่นสาย ฉันคิด ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองยิ้มออกมาหรือเปล่า

เย็นวันนั้น ฉันไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์คาทอลิกใกล้บ้าน ก่อนจะคล้องแม่กุญแจกับประตูมุ้งลวด ฉันได้ยินเสียงร้องเมี๊ยว จึงเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าแมวสีส้มส่งสายตาแบบเดิมอีกแล้ว น้ำเสียงก็ยังแปร่งปร่าเหมือนเมื่อวาน แกไม่ได้โดนกัดจริงๆ ใช่ไหม ฉันถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงแมวก็ไม่มีวันเข้าใจภาษามนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์บางอย่างในภาษาก็อาจสื่อไปถึงก็ได้นะ เช่นอารมณ์อะไรล่ะ เห็นห่วงหรือ รักหรือ ไม่มีทางหรอกน่า แมวน่ะ ไม่มีวันเข้าใจความรักหรอก… มั้ง

ระหว่างพิธีมิสซา พอบาทหลวงกล่าวว่า จงอธิษฐานภาวนา ฉันก็หลับตา กุมมือตัวเองแน่น แล้วกล่าวในใจว่า ขอให้เจ้าแทงโก้บนสวรรค์มีอาหารอร่อยๆ กินทุกวัน พอจะลืมตาก็นึกขึ้นมาได้ และภาวนาในใจต่อไปว่า ขอให้เจ้าแมวสีส้มมีความสุข อาเมน

คืนนั้นอากาศหนาว ฉันใส่เสื้อนอกทับอีกตัว นั่งมองท้องฟ้าอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนหน้าบ้านตามลำพัง เมื่อไหร่หิมะจะตกนะ ได้ยินว่าที่อียิปต์เพิ่งจะมีหิมะตกครั้งแรกในรอบ 112 ปี แล้วเมื่อไหร่กรุงเทพฯจะมีหิมะตกบ้างล่ะ รู้อย่างนี้ในพิธีมิสซาฉันภาวนาให้หิมะตกเสียก็ดี ลมหนาวพัดมาหอบหนึ่ง ฉันกระชับเสื้อนอกแนบกาย สูดกลิ่นอายของความหนาว ฟังเสียงเศษใบไม้แห้งต้องลมเสียงดังแกรก
แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อต้นปีเคยซื้อถ้วยแกะลายสวยๆ มาใบหนึ่ง เป็นถ้วยสีแดงใบเล็กๆ แกะลวดลายคริสต์มาสไว้รอบ เมื่อจุดเทียนที่ก้นถ้วย ลวดลายเหล่านั้นก็จะทอประกายสว่างชัด มีทั้งกวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาส และเกร็ดหิมะ นั่นสิ ถึงหิมะจะยังไม่ตกในกรุงเทพฯ แต่ฉันก็ยังไม่หมดหวังหรอก

ฉันเดินเข้าบ้านไปหยิบถ้วยแกะลายจากชั้นวางของ พร้อมกับไม้ขีด ระหว่างทางเดินกลับไปยังโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านก็ได้ยินเสียงเมี๊ยว ฉันหันไปมอง เจ้าแมวสีส้มกำลังยืดตัวบิดขี้เกียจ แล้วหาวหวอดใหญ่ๆ ตามมานี่สิ ส้มจีน ฉันพูดพลางกวักมือเรียก เหนือความคาดหมายของฉันเล็กน้อย เจ้าแมวขี้เกียจเดินช้าๆ ตามหลังฉันมา ทั้งที่ดวงตายังสะลึมสะลือ เหมือนคุณชายเพิ่งตื่นจากบรรทม ฉันยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนเย็นเยียบ ฉันขยับตัวเล็กน้อยแล้วถูมือให้รู้สึกอุ่น ไม่ช้าก้านไม้ขีดน้อยๆ ก็ลุกโชน ลุกโชนเหมือนประกายของดาวเหนือในคืนฟ้าโปร่ง ฉันยกอีกมือขึ้นกันลม แล้วหย่อนไม้ขีดก้านนั้นลงในถ้วยแกะลาย เพื่อจุดเทียนที่ก้นถ้วย ลวดลายต่างๆ สว่างวาบขึ้นมาโดยพลัน กวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาส และเกร็ดหิมะ ส่องแสงวูบไหวตามเปลวเทียนภายในถ้วยนั้น

ส้มจีนร้องเมี้ยว แล้วเดินเข้ามาใกล้ ถูไถขนสีส้มบนตัวมันไปมารอบๆ แข้งขาของฉัน พอฉันก้มหน้าลงก็พบว่าตัวเองกำลังสบตากับมัน สบตากับเจ้าแมวเหมียว แล้วฉันยิ้ม

“สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ ส้มจีน”

ฉันสอดมือเข้าใต้ขาหน้าของเจ้าแมวส้ม อุ้มมันขึ้นมากอดไว้แนบอก พอทำอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกหายหนาวอย่างบอกไม่ถูก

ฤดูกาลเรื่องสั้น

SHORT STORY SEASON

"เม่นบล็อก" เปิดโอกาสให้นักเขียน และผู้ที่สนใจสามารถส่ง "เรื่องสั้น" เข้าร่วมโครงการ "ฤดูกาลเรื่องสั้น" เพื่อที่จะกระตุ้นให้วงการเรื่องสั้นกลับมาคึกคักอีกครั้ง เรากำลังรอเรื่องสั้นของคุณอยู่ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร นักเขียนใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือนักเขียนเก่าที่ช่ำชอง

You may also like

Leave a Comment

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More