Save the Cat เป็นชื่อโครงสร้างเรื่องราวที่ฟังดูแปลกประหลาดกว่าโครงสร้างเรื่องราวอื่นๆ แต่โครงสร้างเรื่องราวนี้ได้รับการกล่าวขาน และยกย่องจากนักเขียนในแขนงต่างๆ มากมาย โครงสร้างนี้มักสร้างให้ตัวเอกทำสิ่งที่กล้าหาญ ไม่ต่างจาก –การช่วยชีวิตแมว– ซึ่งทำให้ผู้อ่านหลงใหลไปกับตัวเนื้อเรื่อง Save the Cat คือ โครงสร้างเรื่องราวที่พัฒนาโดยนักเขียนบทภาพยนตร์ Blake Snyder ที่ทำให้เรื่องราวธรรมดากลายมาเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามจากการเรียงลำดับของช่วงเวลา
เมื่อ Save the Cat Beat Sheet ได้รับการดัดแปลงให้กลายมาเป็นโครงสร้างงานเขียน มันได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเล่าเรื่องผ่านรูปแบบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมแนวไหนก็ตาม Save the Cat (STC) สามารถสร้างเรื่องราวที่จะชนะใจผู้อ่านได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกรสนิยม โดยไม่มีข้อสงสัย
Save the Cat Beat Sheet คือ
โครงสร้างการเล่าเรื่อง Save the Cat ได้รับการพัฒนามาจากโครงสร้าง 3 องก์ แบบดั้งเดิม รายละเอียดของ Beat Sheet ทุกๆ จังหวะ ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้าง โดยแบ่งแต่ละเหตุการณ์ว่าควรจะเกิดขึ้นที่ไหนและในลำดับเวลาใด ชไนเดอร์ได้ประมวลโครงสร้างออกเป็น 15 Beat –15 จังหวะ– นักเขียนส่วนใหญ่มักประสบปัญหากับโคงสร้างสามองก์แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในองก์ที่สอง ตัวอย่างเช่น
“เหมือนว่ายน้ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำกับทะเล โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างองก์หนึ่งกับองก์สอง เต็มไปด้วยบทที่ว่างเปล่า ซึ่งทำให้ผู้เขียนหลงทาง ไม่รู้จะว่ายไปทิศไหน สุดท้ายก็จมน้ำตาย พวกเขาต้องการ ‘เกาะ’ ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะได้ว่ายน้ำให้สั้นลง”
- Opening Image [1] หากคุณกำลังเริ่มเขียนนวนิยาย หนังสือเรื่องนี้จะเปิดย่อหน้าแรกหรือฉากที่ดึงดูดใจผู้อ่านเข้าสู่โลกของเรื่องราว
- Theme Stated [5] ระบุสถานการณ์ ระหว่าง Set-up ควรบอกใบ้ว่าเรื่องราวเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร — ความจริงที่ตัวเอกจะค้นพบในตอนท้าย
- Set-up [1-10] สร้าง ‘โลกธรรมดา’ ของตัวเอก เขาต้องการอะไร? เขาพลาดอะไรไป? เขาต้องการอะไร? เป้าหมายอยู่ไหน?
- Catalyst [12] ตัวเร่งปฏิกิริยา Inciting Incident จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์
- Debate [12-25] โต้แย้งถกเถียง ตัวเอกปฏิเสธการเรียกร้องให้ผจญภัย เขาพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งก่อนที่พวกเขาจะถูกบังคับให้ลงมือปฏิบัติ
- Break into Two [25] แบ่งเป็นสองส่วน ตัวเอกตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เรื่องเริ่มเดินออกจากโลกธรรมดา การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง
- B Story [30] โครงเรื่องย่อยเริ่มเข้ามามีบทบาท ส่วนใหญ่มักจะเป็นบทโรแมนติกที่ดูสอดคล้องอย่างเป็นธรรมชาติ หากเป็นบทย่อยของตัวเอกควรใช้เพื่อเน้นธีม
- The Promise of the Premise [30-55] หรือเรียกว่าช่วงเวลาของ ‘ความสนุกและเกม’ ซึ่งมักจะเป็นส่วนที่สร้างความบันเทิง เหมือนกับผู้เขียนส่งมอบของขวัญให้คนอ่าน หากผู้เขียนสัญญาว่าเรื่องที่เขียนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักสืบที่น่าตื่นเต้น เราจะเห็นนักสืบเริ่มดำเนินการสืบ ค้นหา หากนักเขียนสัญญาเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระของคนที่กำลังตกหลุมรัก ให้พวกเขาจะต้องออกเดทที่น่าอึดอัดกันดีกว่า
- Midpoint [55] จุดกึ่งกลาง แผนการถูกพลิกแพลง เดิมพันเพิ่มขึ้นและทำให้เป้าหมายของตัวเอกบรรลุได้ยากขึ้น — หรือทำให้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายใหม่ที่มีความสำคัญมากกว่า
- Bad Guys Close In [55-75] คนเลวใกล้เข้ามา แรงตึงเคียดมากขึ้น อุปสรรคของตัวเอกยิ่งใหญ่ขึ้น แผนของเขาพังทลายลง และเขายังตามหลังศัตรู
- All is Lost [75] สูญหายทั้งหมด พระเอกถูกอัดกระแทกพื้น เขาสูญเสียทุกอย่างที่ได้รับมา และทุกอย่างดูมืดมน คนร้ายกำลังเอาชนะ ผู้ให้คำปรึกษาเสียชีวิต คู่รักทะเลาะกันและเลิกรากัน
- Dark Night of the Soul [75-85] คืนที่มืดมิดของจิตวิญญาณ หลังจากสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง พระเอกเดินสับสนไปทั่วเมือง ในตอนนี้ดนตรีที่เป็นคีย์ชิ้นเล็กๆ บรรเลงขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะค้นพบ “ข้อมูลใหม่” บางอย่างจะเผยให้เห็นสิ่งที่เขาต้องทำอย่างชัดเจน หากต้องการประสบความสำเร็จอีกครั้ง (ข้อมูลใหม่นี้มักจะส่งผ่านจาก B-Story)
- Break into Three [85] แบ่งเป็นสาม ด้วยข้อมูลใหม่นี้ ตัวเอกจึงตัดสินใจลองอีกครั้ง!
- Finale [85-110] ฉากสุดท้าย ตัวเอกเผชิญหน้ากับศัตรูหรืออะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งหลัก ความจริงที่หลบเลี่ยงเขาในช่วงเริ่มต้นของเรื่อง (อยู่ในขั้นตอนที่ 3 และเน้นย้ำโดย B Story) นั้นชัดเจนแล้ว ทำให้เขาสามารถแก้ไขปมนั้นได้
- Final Image [110] ช่วงเวลาหรือฉากสุดท้ายที่ตกผลึกแล้วว่าตัวละครเปลี่ยนไปอย่างไร เป็นภาพสะท้อนของภาพเริ่มต้น
ขั้นตอนการทำงานของ Save the Cat Beat Sheet จากภาพยนตร์เรื่อง The Lobster
ในบทนี้เรามาดูกันว่า Save the Cat ทำงานอย่างไรกับเรื่องราวต่างๆ โดยจะยกตัวอย่างจากภาพยนตร์เรื่อง The Lobster เขียนบทโดย Yorgos Lanthimos และ Efthymis Filippou กำกับการแสดงโดย Yorgos Lanthimos
แม้ว่าเรื่องราวใน The Lobster จะดูออกเป็นแนวโรแมนติก แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเสียดสีเหน็บแนม ซึ่งบ่งบอกว่าเรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นไปในแบบ Buddy Love และไม่ได้เน้นที่ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก แม้ว่าตัวละครหลักกำลังเผชิญหน้ากับช่วงชีวิตใหม่ (การหย่าร้าง/การเป็นโสด) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่าน ทั้งทางกายและจิตใจของตัวเอก เรื่องราวใน The Lobster เป็นการสำรวจสังคมที่สร้างขึ้นจากความกลัวที่มนุษย์จะต้องอยู่คนเดียวและโดดเดี่ยว — ความแตกต่างระหว่างการอยู่เป็นคู่ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามและความรักแบบที่ทำให้ทุกคนเต็มใจที่จะเสียสละทุกอย่าง
1. Opening Image (1%)
นี่คือภาพรวมที่แนะนำให้รู้จักกับโลกปัจจุบันของตัวเอกทันทีในภาพยนตร์ ขณะที่ในนวนิยาย นักเขียนต้องนึกภาพฉากที่ดึงดูดผู้อ่านและกำหนดโทนในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
Opening Image: The Lobster : Save The Cat
ผู้หญิงคนหนึ่งพบลาสามตัวยืนอยู่อย่างเกียจคร้านริมถนนในชนบทอันเงียบสงบ เธอวิ่งไปหาลา…และยิงปืนไปที่ลาตัวหนึ่ง โดยยิงซ้ำอีกหลายนัด แล้วเธอก็วิ่งกลับไปที่รถ ก่อนขับรถออกไป
ตอนนี้ผู้ชมพร้อมแล้วสำหรับเรื่องราวที่ไม่เหมือนใคร เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกที่ดูเหมือนโลกของเรามาก แต่มองผ่านเลนส์ที่คลุมเครือ และตรงจุดนี้จึงมีการกำหนดโทนเสียงของเรื่องเอาไว้
แต่ถ้าเรากำลังมองหาภาพเปิดที่จะทำหน้าที่เป็น “ก่อนสแนปชอต” ฉากต่อไปได้ทำหน้าที่นี้:
พระเอกของเรื่อง เดวิด (คอลิน ฟาร์เรลล์) เขาถูกภรรยาทิ้ง เธอขอโทษ สาเหตุเกิดจากเธอได้พบกับชายอื่น
2. Theme Stated (5%)
จังหวะนี้แนะนำแนวคิดหลักหรือบทเรียนชีวิตที่ตัวเอกจะค้นพบตลอดเรื่องราว
Theme Stated: The Lobster : Save The Cat
วันแรกของเดวิดที่ The Hotel พนักงานมัดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ข้างหลัง มันเป็นการกระทำเพียงชั่วคราวเท่านั้น – นี่เป็นบททดสอบเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า “ชีวิตจะง่ายเพียงใดหากสิ่งของสองสิ่งจะสามารถแทนด้วยสิ่งเดียว” นี่คือสิ่งที่ The Hotel กำลังขาย และทำการสำรวจ: เป็นการเชื่อมโยงกับการจับคู่ที่แท้จริง
3. Set-up (1-10%)
สถานะของตัวเอกในโลกที่อาศัยอยู่อย่างละเอียดและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก่อนที่โลกจะถูกเขย่าอย่างรุนแรง รายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับข้อบกพร่องของตัวละครจะปรากฏขึ้นในจังหวะนี้ พวกเขาอาจกำลังดำเนินการบางอย่างเพื่อเอาชนะวิกฤต
Set-up: The Lobster : Save The Cat
พวกเขาพาเดวิดไปยังสถานที่ที่เรียกว่า ‘โรงแรม’ (พร้อมกับสุนัขที่เขาเลี้ยง) จังหวะนี้เราจะได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ของโลกภาพยนตร์ผ่านกระบวนการเข้ารับคนเข้าสู่โรงแรม: แขกที่เข้าพักใน The Hotel เป็นคนโสดไร้คู่ พวกเขามีเวลา 45 วันในการหาคู่ที่ใช่ นี่เป็นข้อกำหนดของที่นั่น กฏนี้ไม่อนุญาตให้มีคนโสด พวกเขาต้องหาคู่ให้ได้ตามที่เวลากำหนด
4. Catalyst (10%)
ตัวเร่งปฏิกิริยา หรือที่รู้จักกันในนาม inciting incident ช่วงเวลานี้ตัวเอกจะวิ่งไล่ตามเรื่องราวหลัก
Catalyst: The Lobster : Save The Cat
เมื่อเดวิดมองออกไปนอกหน้าต่างห้องพักในโรงแรม และเห็นร่างไร้สติของ “ผู้โดดเดี่ยว” ที่ถูกจับตัวไป คนเหล่านี้เป็นคนโสดที่อาศัยอยู่อย่างคนเถื่อนนอกกฎหมายในป่า พวกเขาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฏในการจับคู่ แขกของ The Hotel จะได้รับอนุญาตให้ออกไปล่าสัตว์ สำหรับแขกที่สามารถจับ “ผู้โดดเดี่ยว” ได้ จะได้อภิสิทธิ์ในการเข้าพักพิเศษขึ้น
นี่อาจถือได้ว่าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เนื่องจากเราจะเห็นในภายหลังว่า ทางเลือกที่เดวิดต้องทำในท้ายที่สุดคือรูปแบบหนึ่งของ Institutionalized ประเภท: เข้าร่วม เผาทิ้ง หรือฆ่าตัวตาย และการได้เห็นร่างของผู้โดดเดี่ยวเป็นครั้งแรกเป็นตัวแทนทางเลือกที่ The Hotel ของเดวิด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงแรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อดูแลแขกให้ “ตกหลุมรัก” – แต่จริงๆ แล้วการเน้นย้ำอยู่ที่ความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องนี้ เมื่อแขกไม่สามารถหาคู่รักในเวลาที่กำหนด เขาหรือเธอจะกลายเป็น ‘สัตว์’
ข้อดีคือพวกเขาสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด! ยังไม่มีใครที่นี่อยากจะล้มเหลว แต่เวลาเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เราทราบมาว่าสุนัขที่เดวิดเลี้ยงเป็นน้องชายของเขา ซึ่งเคยพักที่โรงแรมนี้เมื่อสองสามปีก่อน เดวิดคิดว่าถ้าทำไม่สำเร็จ เขาอยากเป็นกุ้งก้ามกราม
5. Debate (10-20%)
หลังจากตัวเร่งปฏิกิริยา ตัวเอกต่อต้านความท้าทาย จาก inciting incident
Debate: The Lobster : Save The Cat
จังหวะดีเบตในหนังเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อเดวิดได้รู้จักเพื่อนใหม่สองคน Lisping Man (John C. Reilly) และ Limping Man (Ben Whishaw) และทั้งสามคนก็รู้จักกันในโลกใหม่ของโรงแรม
ตัวละครผู้หญิงสองสามคนที่เป็นแขกของโรงแรม: Nosebleed Woman (Jessica Barden), Biscuit Woman (Ashley Jensen) ที่สิ้นหวังและเศร้าสร้อย และ Heartless Woman (Angeliki Papoulia) มีข่าวลือว่าเธอ “ไม่มีความรู้สึกใดๆ” แต่เป็น “นักล่าที่ดีที่สุดในโลก ของโรงแรม – เธอล่าได้ถึง 192 นักโทษ”
มีการสร้างโลกในหนังเรื่องนี้พอสมควร ดังนั้นจังหวะการดีเบตจึงทำหน้าที่ในการปูเรื่องเพื่อแสดงให้คนดูเห็นขอบเขตของความท้าทายที่เดวิดกำลังจะทำ
6. Break Into Two (30%)
ต่อจากช่วงเวลาแห่งความสงสัย ตัวเอกตัดสินใจที่จะรับมือกับความท้าทายที่ถูกทิ้งร้างและเริ่มต้นจัดการกับความล้มเหลวของจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์
Break into Two: The Lobster : Save The Cat
ในการล่าครั้งแรกของเดวิด เขาไม่สามารถจับ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ ได้ วันเวลาของเขากำลังจะหมดไป ถ้าต้องการที่จะอยู่ในโรงแรมโดยไม่กลายเป็นสัตว์ เขาจะต้องพยายามให้มากขึ้น เขาจะทำอย่างไรเพื่อความรัก? การเดินทางของเดวิดเริ่มต้นอย่างจริงจัง
7. B Story (22%)
โครงเรื่องย่อย หรือ B Story เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและยังคงดำเนินเรื่องควบคู่ไปกับเนื้อเรื่องหลักตลอดระยะเวลาส่วนใหญ่ โครงเรื่องย่อยมักเกี่ยวข้องกับตัวละคร (มักจะเป็นคู่รักโรแมนติก) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ตัวเอกเปลี่ยนแปลง
B Story: The Lobster : Save The Cat
Limping Man เพื่อนของเดวิดเป็นคนที่เข้าใจเพื่อนทั้งสามมากที่สุด เขาอธิบายว่าพวกมันกลายเป็นสัตว์ได้อย่างไรและพยายามสร้างความประทับใจให้พวกเขาเพื่อให้เห็นถึงความจริงจังของสถานการณ์ และต่อมา โครงเรื่องย่อยของ Limping Man จะแสดงส่วนหนึ่งของข้อขัดแย้ง
8. Fun and Games (20-50%)
บางคนเรียกจังหวะนี้ว่า ‘promise of the premise’ แม้จะมีสัญลักษณ์กำกับไว้ว่า ความสนุกและเกม แต่จังหวะนี้อาจไม่ได้สร้างความสนุกสนานให้กับตัวละครที่เกี่ยวข้อง แต่ช่วงเวลานี้เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ประเภทของหนัง หรือประเภทหนังสือที่ได้รับการกำหนดเอาไว้ ถ้าหนังที่คุณดูเป็นหนังเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่ เราจะได้เห็นพระเอกเอาชนะคนเลวระดับต่ำ ในเรื่องนักสืบ ‘ความสนุกและเกม’ เป็นช่วงที่ ตำรวจนอกเครื่องแบบจะเริ่มติดตามเบาะแสบางอย่าง
Fun and Games: The Lobster : Save The Cat
หนังกำลังแสดงให้เห็นถึง “อันตราย” ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันไร้สาระของการเป็นโสด ตามที่พนักงานโรงแรมพิสูจน์ให้เห็น
และหนังแสดงให้ผู้ชมทราบว่าทางโรงแรมดำเนินการอย่างไรเพื่อให้แขกของตนหาคู่ได้ พวกเขาไม่อนุญาตให้ช่วยตัวเอง แต่หน้าที่อย่างหนึ่งของสาวใช้ในโรงแรม (อาเรียน ลาเบด) คือการบำบัดเดวิดให้ไปสู่จุดสุดยอด เดวิดได้รับคำอธิบายว่านี่เป็นสิ่งที่จะช่วยค้นหาด้านจิตใจ และเป็นสิ่งที่จำเป็น
แขกในโรงแรมทำทุกอย่างเพื่อการอยู่รอด Limping Man ทำให้ตัวเองเลือดกำเดาไหล เพื่อที่เขาจะดูเข้ากันได้ดีกับ Nosebleed Woman เมื่อเดวิดเผชิญหน้า Limping Man เขาเล่าว่า “ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการมีเลือดกำเดาไหลเป็นบางครั้ง ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การตายด้วยความหนาวเย็นและความหิวโหยในป่า หรือการกลายเป็นสัตว์จะถูกสัตว์ที่ใหญ่กว่ากัดกิน”
9. Midpoint (50%)
จังหวะนี้ได้ส่งสัญญาณว่า เรื่องราวได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของวิกฤต ในจังหวะ ‘Fun and Games’ เดิมพันได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องราวที่หักมุม การวางแผนที่ผิดพลาดอยู่ในรูปแบบของชัยชนะจอมปลอม — ช่วงเวลาที่ตัวเอกเข้าใจผิดเชื่อว่าพวกเขาได้รับชัยชนะแล้ว
Midpoint: The Lobster : Save The Cat
การที่ เดวิดเข้าไปในป่า เขาตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ จังหวะ ‘จุดกึ่งกลาง’ แบบดั้งเดิม เดิมพันของตัวเอกเพิ่มขึ้นที่นี่ เนื่องจากการใช้ชีวิตในป่าทำให้เกิดการคุกคามอย่างต่อเนื่องจากการถูกล่า
เมื่อเดวิดเข้าร่วมกับ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด แต่ไม่อนุญาตให้มีความรักหรือเซ็กส์ พวกเขาต่อต้านคู่รักและความรัก
จากนั้นเดวิดได้พบกับ…หญิงสาวสายตาสั้น (ราเชล ไวซ์) ผู้โดดเดี่ยวอีกคน แรงดึงดูดซึ่งกันและกันเกิดขึ้น เดวิดสายตาสั้นขึ้นมาด้วย ดูเหมือนว่าเขาอาจพบคู่ในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่ตอนนี้เขาสาบานว่าจะเป็นโสดไร้คู่รัก จากนี้ไปเขาจะทำอะไรได้บ้าง?
10. Bad Guys Close In (50-75%)
จาก ‘จุดกึ่งกลาง’ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งต่างๆ ก็เริ่มตกต่ำลงสำหรับตัวเอก
Bad Guys Close In: The Lobster : Save The Cat
ลางสังหรณ์จะได้รับคำตอบ มีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังก่อตัว – แผนการลับที่ผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ (Léa Seydoux) ได้รับการเพาะบ่มความช่วยเหลือจากภายในโรงแรม
ขณะเดียวกัน ผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ จับตาดูเดวิดกับหญิงสาวสายตาสั้นทุกฝีก้าว เธอเห็นทั้งสองใกล้ชิดกันมาก และนั่นก็ทำให้กลุ่มผู้โดดเดี่ยวเกิดความคลางแคลงใจและโกรธคนทั้งสอง
ในที่สุดแผนของผู้โดดเดี่ยวก็เผยออกมา เมื่อพวกเขาแทรกซึมเข้าไปในโรงแรมและจับตัวผู้จัดการ (Olivia Colman) และหุ้นส่วนของเธอ (Garry Mountaine) ‘ผู้โดดเดี่ยว’ บังคับให้คู่หูเลือกว่าใครจะตาย – เขาหรือเธอ? ‘ผู้โดดเดี่ยว’ ไม่ฆ่าใคร พวกเขามาเพื่อพิสูจน์ว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องหลอกลวง
11. All is Lost (75%)
ช่วงเวลาที่ทุกอย่างพังทลายลงสำหรับตัวเอกและพวกเขามาถึงจุดต่ำสุด ความคาดหวังทั้งหมดดูเหมือนจะหายไป
All Is Lost: The Lobster : Save The Cat
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ เริ่มงานเฉลิมฉลอง (ด้วยการเต้นคนเดียว–ด้วยกัน) เรามองเห็นถึงความตายเมื่อหัวหน้า ‘ผู้โดดเดี่ยว’ เตือนเดวิดว่าต้องขุดหลุมศพของตัวเอง เพราะเขากำลังจะตายอย่างโดดเดี่ยวแล้วจะไม่มีใครทำเมื่อเขาจากไป
นี่คือความพ่ายแพ้ นี่คือความผิดพลาดของเดวิดที่เข้าร่วมกับ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ นั่นหมายถึงการไร้ความรัก
12. Dark Night of the Soul (75-80%) – Save The Cat
ในการเผชิญกับความพ่ายแพ้ ตัวเอกมีเวลาในการพิจารณาว่าพวกเขาได้สูญเสียอะไรไปบ้าง
Dark Night of the Soul: The Lobster : Save The Cat Beat Sheet
ชายผู้โดดเดี่ยวอีกคนนำกระต่ายมาให้หญิงสาวสายตาสั้น (กระต่ายเป็นอาหารโปรดของเธอ) เดวิดรู้สึกอิจฉาและต่อต้านในทันที จนเกือบจะต่อสู้กับชายคนนั้น
13. Break Into Three (80%)
ตัวเอกจะพบแรงจูงใจที่จะก้าวต่อไปด้วยความสิ้นหวังทางอารมณ์กับสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดการเดินทาง ซึ่งส่งผ่านจาก B-Story ด้วยการมองโลกในแง่ดีและลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินหน้าต่อไป ตัวเอกเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่แนวทางใหม่ ปรับปรุงตัวเองเพื่อรับมือกับการต่อสู้ครั้งใหม่ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า
Break Into Three: The Lobster : Save The Cat
ทันทีที่เดวิดไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นเพียงใด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหามัน!
ทั้งสองแอบวางแผนออกจากป่า โดยอาศัยอยู่ในเมืองด้วยกัน พวกเขาไม่รู้ว่า ผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ ล่วงรู้แผนการนี้…
ผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ พาหญิงสาวสายตาสั้นเข้ามาในเมือง เพื่อนัดหมายการผ่าตัดตาแบบเซอร์ไพรส์ นี่เป็นสิ่งที่ดี (เธอพูดอย่างนั้น) เนื่องจากการมีสายตาที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดในป่าได้ ผู้หญิงสายตาสั้นไม่สามารถเสี่ยงที่จะปฏิเสธการผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้คนอื่นๆ ผิดหวัง แต่การผ่าตัดจะทำให้เธอเข้ากันไม่ได้กับเดวิดหรือไม่? หรือความรักของพวกเขามีจริงพอที่จะทนต่อการเปลี่ยนแปลง?
เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง [ประโยคถัดไปเปิดเผยความลับของเรื่องทั้งหมด] ผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ ทำให้หญิงสาวสายตาสั้นตาบอด
14. Finale (80-99%)
พระเอกเอาชนะอุปสรรคและปัญหาที่ต้องเผชิญ ด้วยความช่วยเหลือจากความจริงที่เพิ่งค้นพบ
Finale: The Lobster : Save The Cat
หญิงสาวสายตาสั้นและเดวิดต้องต่อสู้กับอุปสรรคใหม่ ทั้งสองมองหาลักษณะนิสัยอื่นๆ ที่สามารถสร้างความเข้าใจกันได้ ลักษณะนิสัยนั้นต้องเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าสามารถอยู่ด้วยกัน ทว่าพวกเขาหาไม่พบ เขายังคงต้องการอยู่กับเธอ ทั้งสองต้องการเหตุผลมากกว่านี้ไหม
พวกเขาต่อสู้ผ่านผู้นำ ‘ผู้โดดเดี่ยว’ และหลบหนี
และสุดท้าย เรื่องราวอาจจะจบลงอย่างมีความสุข แต่ผู้ชมก็จำได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกและมืดมนตั้งแต่ต้นเรื่อง
15. Final Image (99-100%) – Save The Cat
ช่วงเวลาสุดท้ายนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวละครเอก และมักจะสะท้อนภาพเริ่มต้น
Final Image: The Lobster : Save The Cat
ทั้งสองอยู่ด้วยกันในร้านอาหาร โดยที่เดวิดขอดูโปรไฟล์ของเธอ…นิ้วของเธอ…ข้อศอกของเธอ… แล้วขอมีดจากพนักงานเสิร์ฟ เขานำมีดเข้าไปในห้องน้ำและเตรียมที่จะ “เสียสละ”
ในโลกของขนบเรื่องราวแนวดิสโทเปีย ดูเหมือนว่าเดวิดต้องเสียสละดวงตาเพื่อที่จะได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารัก
ข้อดีของการใช้ Save the Cat Beat Sheet คืออะไร?
โดยลักษณะรายละเอียดของโครงสร้างนี้ นักเขียนบางคนมองว่าไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างเรื่องราวได้ดี ส่วนนักเขียนอีกหลายคนไม่ต้องการเรียงลำดับจังหวะหรือตำแหน่งตามที่กำหนด แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเรียนรู้เกี่ยวกับ Save The Cat
ใช้ Save The Cat Beat Sheet สร้างโครงเรื่องสำหรับงานเขียน
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนใหม่ หรือนักเขียนเก่าที่ช่ำชอง นักเขียนทุกคนต้องผ่านความทุกข์ระทมกับปัญหาระหว่างการเขียน การวางโครงร่างเป็นกระบวนการที่นักเขียนหลายคนลงความเห็นว่ามีประโยชน์ 15 บีทชีต ของ Save the Cat มีคุณลักษณะที่มีรายละเอียดสูงหมายความว่าเพียงแค่เติมเหตุการณ์ลงไปในแต่ละบีท ผู้เขียนสามารถสร้างโครงร่างเริ่มต้นของแนวคิดไปสู่เรื่องราวที่เต็มเปี่ยมได้ภายในเวลาไม่กี่นาที หรือเพียงแค่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรื่องราวที่อาจจะไปต่อได้อย่างไม่ติดขัด
Save The Cat ช่วยสร้างสมดุลจากภายใน
สำหรับนักเขียนบางคน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือนำเสนออะไร แต่ปัญหาของพวกเขาคือ ไม่รู้ว่าจะต้องหยุด จะตัดฉาก หรือจบตอนตอนไหน ด้วยแนวคิดดีๆ มากมายที่ผุดขึ้น การควบคุมไม่ให้ล้นและทำให้เรื่องราวที่จะเขียนไม่ยืดเยื้อเกินไป เป็นความท้าทาย ลองใช้บีทชีต STC เป็นจังหวะอ้างอิงที่ก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับการเว้นจังหวะและควบคุมความสมดุล เพื่อให้เวลาในเรื่องได้รับการบริหารอย่างเหมาะสมตามสัดส่วนในแต่ละองค์ประกอบ
นำเสนอเรื่องราวที่ผู้อ่านคาดหวังให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยใช้ Save The Cat
ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วไปคุ้นเคยกับซีรีส์หรือภาพยนตร์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่โครงสร้างเรื่องราวของภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์จะเป็นที่คุ้นเคยมากกว่านวนิยาย แก่นแท้ของการศึกษาโครงสร้าง Save The Cat คือการนำเรื่องราวที่ผู้คนรู้จักและคุ้นเคยมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติในงานเขียน
ไม่เพียงแค่ผู้อ่านจะหลงใหลในเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์และโทรทัศน์เท่านั้น ผู้จัดพิมพ์ สำนักพิมพ์และบรรณาธิการที่มีหัวเชิงพาณิชย์กำลังมองหาหนังสือที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นสื่อต่างๆ มากขึ้น ดังนั้น หากนักเขียนกำลังตั้งเป้าให้หนังสือของเขากลายเป็นหนังสือขายดี หรือกลายเป็นภาพยนตร์ บีทชีตของ STC จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
แม้ลักษณะต่างๆ ในแต่ละจังหวะจะได้รับการกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ได้หมายความว่างานชิ้นนั้นจะคาดเดาเรื่องได้อย่างง่ายดาย การใช้โครงสร้าง Save the Cat ไม่ได้บอกให้นักเขียนใช้มันอย่างตรงๆ ไม่ว่าจะใช้ไปตามจังหวะ หรืออ้างอิงช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น STC สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับแนวคิดทั้งหมดของเรื่อง เพื่อให้นักเขียนเริ่มต้นเขียนหนังสือที่สดใหม่และน่าตื่นเต้น จนกลายเป็นหนังสือที่จะทำให้ผู้อ่านประทับใจได้เป็นอย่างดี
Download: Save The Cat Spreadsheet Extra : ดาวน์โหลดโปรแกรมคำนวน Excel Free!!!
หลังอ่าน Save the Cat จบลงไปแล้วอยากลองใช้โครงสร้างนี้ของ Blake Snyder บีตชีทของเขาเหมาะกับการเขียนนิยายขนาดสั้น หรือ นวนิยาย โครงสร้างนี้ช่วยจัดระเบียบของโครงสร้าง อีกทั้งยังช่วยแบ่งจังหวะต่างๆ ในแต่ละช่วงอย่างละเอียด สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรมได้จัดทำไฟล์จากโปรแกรม Excel: Save The Cat Spreadsheet สำหรับคำนวนจำนวนหน้ากับจังหวะของเรื่อง เพื่อที่ผู้เขียนจะได้สะดวกในการวางโครงสร้าง
ผู้อ่านสามารถเข้าไป Download โปรแกรม Excel ได้ที่ลิงค์ด้านล่าง สำหรับหน้าดาวน์โหลด Save The Cat Spreadsheet ผู้อ่านต้องลงทะเบียนและล็อกอิน ด้วยขั้นตอนง่ายๆ
วิธีการดาวน์โหลด
- ในกรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเวบ
- กดปุ่ม Register | ลงทะเบียน เพื่อลงทะเบียน
- รออีเมล์คอนเฟิร์ม จากอีเมล์ที่ลงทะเบียน
- คอนเฟิร์มแล้ว ล็อกอิน เข้าเวบไซต์
- กลับมาที่หน้า Download ของ Save The Cat Spreadsheet
- เลือกปุ่มดาวน์โหลด
- กรณีที่เป็นสมาชิกแล้ว ล็อกอิน แล้วดาวน์โหลดได้เลย