A Season To Remember #01

Whatever Happens Next ฤดูกาล 2018-19 นัดสุดท้ายที่แอนด์ฟิลด์ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปผมไม่อาจทำนายได้ แต่ถ้าเราเก็บสามแต้มได้ มันโอเคมาก นั่นคือสิ่งที่เราเห็นแล้วว่าอดีตเป็นมาอย่างไร และตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน ความสำคัญเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญ สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล มันมีความหมายมากกว่านั้นมาก และพวกเราในหมู่เดอะค็อปก็รู้ดีว่า พวกเราไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุด พวกเราไม่เคยทิ้งความฝัน และเดินไปด้วยกันกับทีม แม้จะจะสมหวัง หรือล้มเหลว

Whatever Happens Next

A Season To Remember บทความหลายตอน ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ บทความเขียนขึ้น ณ เวลานั้น โดยผู้เขียนไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถึงกระนั้น เมื่อผูู้อ่านย้อนกลับมา มันได้กลายเป็นช่วงเวลาก่อนประวัติศษสตร์อย่างแท้จริง

“มันยังเป็นเรื่องยากที่จะเป็นแชมป์ อย่างเดียวที่เราสามารถทำได้คือเอาชนะเกมของเราไว้ก่อน วูล์ฟได้แสดงให้เห็นมาตลอดซีซั่นนี้แล้วว่าพวกเขาสนุกกับเกมฟุตบอลดีๆ ของพวกเขาขนาดไหน และพวกเขาก็จะพิสูจน์อีกครั้งในวันอาทิตย์นี้ว่า พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้ที่ผ่านทางมาเฉยๆ อย่างแน่นอน”

“เรียกได้ว่าเป็นช่วงอาทิตย์แห่งปาฏิหารย์ได้เลยนะ ถ้าจะมีช่วงเวลาสำคัญเกิดขึ้นกับเราอีกในสุดสัปดาห์นี้อีกล่ะก็, มันคงจะเยี่ยมไปเลย”

เยอร์เก้น คล็อปป์

ผมไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นในเจ็ดแปดชั่วโมงข้างหน้า ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่ทีมลิเวอร์พูลต้องทำให้ได้ก็คือคว้าสามคะแนน เพื่อ 97 แต้ม ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็มีความสุข แม้จะรู้ว่ามันยากที่จะให้ซิตี้พลาดท่า แน่นอนเรามีความหวัง แต่เราคงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้จะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่ทำมันให้สำเร็จ อย่างน้อย 97 แต้ม มันบอกว่าลิเวอร์พูลมาถึงจุดไหนของพรีเมียร์ลีก แน่นอนว่ารูปธรรมคือแชมป์ แต่นามธรรมที่จับต้องไม่ได้ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

ต้นฤดูกาลใครจะเชื่อว่าเราจะยืนอยู่จุดนี้ ย้อนกลับไปฤดูกาล 2016-17 เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมเต็มฤดูกาลแรก เราจบที่อันดับสี่ตามหลังแชมป์อย่างเชลซีที่มี 93 แต้ม ถึง 17 แต้ม ความห่างระดับชั้นเห็นได้จากตารางคะแนน ยิงได้ 78 เสีย 42 เสียประตูมากที่สุดในท็อปโฟร์ เสียประตูมากกว่าแมนยูไนเต็ดที่อยู่ลำดับหกเสียอีก นักเตะที่พาทีมมาสู่อันดับสี่ สเตอริดห์, ฟีร์มีโน, คูตินโญ, ชาน, ลูคัส, เฮนเดอร์สัน, ลอฟเลน, มิโญเล่ต์, ไคลน์, มิลเนอร์, ลัลลนา, อิงค์, โอริกิ เวลานั้นไม่มีคนไหนเทียบชั้นนักเตะของเชลซี หรือแมนซิตี้ได้เลยสักคน ลิเวอร์พูลนำเข้านักเตะใหม่ห้าคน คาริอุสมาจากไมน์ส 05 มาติปจากชาลเก้ รักนาร์ คราวาน และอเล็กซ์ แมนนิงเจอร์จากเอาส์บรูก จินี ไวนาดุม จากนิวคาสเซิล และมาเน่จากเซาท์แธมป์ตันกลายมาเป็นเดอะแบกอย่างแท้จริง นัดไหนไม่มีเขาลงเล่น การสร้างสรรค์ประตูก็ดูจะน้อยลงตามไปด้วย ดูจาก Culb Squad แล้วพวกเขาพอจะมีสำรองทดแทนกันได้ มิลเนอร์ต้องไปเล่นแบ๊คซ้ายตลอดฤดูกาล ขณะที่โมเรโน่ซึ่งเป็นเจ้าของตำแหน่งไม่สามารถรีดความสามารถออกมาได้

ลองนึกภาพนัดแรกบุกไปเอาชนะอาร์เซลน่อลด้วยสกอร์ 3-4 นัดถัดมาไปเยือนบาร์นลีย์แพ้ไป 2-0 เป็นฤดูกาลที่ไม่แพ้ท็อปโฟร์ท็อปซิกเลย แต่ทีมกลางตารางลงไป บางนัดลิเวอร์พูลไม่สามารถทำอะไรได้ บางนัดนำอยู่ แต่ถูกตีเสมอ ทำให้คะแนนหล่นหาย ขณะที่สถานการณ์ผู้รักษาประตูก็ดูอึมครึม คาริอุสเองก็ยังไม่สามารถผลักดันตัวเองให้ดูโดดเด่นกว่ามิโญเลต์

ฤดูกาล 2017-18 การมาถึงของเศาะลาห์ (ซาลาห์) สร้างความตื่นตะลึงให้กับพรีเมียร์ลีก จากนักเตะที่ไม่ประสบความสำเร็จจากเชลซี กลายมาเป็นดาวซัลโวสูงสุด เฉพาะพรีเมียร์ลึก เขาซัดคนเดียว 32 ประตู รวมทั้งฤดูกาลเศาะลาห์ยิงไปถึง 44 ประตู และยังพาทีมเข้าชิงแชมเปี้ยนลีกกับรีลแมดริด ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะมาได้ไกล แต่ผลงานในพรีเมียร์ลีกดูจะไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ แนวรับของพวกเขายังมีปัญหา ช่วงตลาดซัมเมอร์ลิเวอร์พูลเดินเกมผิดจังหวะที่จะซื้อเวอร์จิล ฟาน ไดจ์มาจาก เซาท์แธมป์ตัน ดีลจำต้องหยุดลงโดยแถลงการของสโมสรว่าไม่สนใจตัวเวอร์จิลอีกแล้ว เมื่อไม่ได้กองหลังเป้าหมาย เยอร์เก้นก็ไม่ได้ซื้อใครเพิ่มสำหรับตำแหน่งนี้ เพราะเขาคิดว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเติมเต็มจุดอ่อนสำคัญของทีม

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เกมนัดแรกกับวัตฟอร์ด พวกเขาเสียไปถึงสามประตู และจบลงที่ผลเสมอ ฟางเส้นสุดท้ายที่แสดงถึงแนวรับที่อ่อนยวบก็คือเกมกับสเปอร์ที่เวมบลีย์ ลิเวอร์พูลแพ้ไป 4-1 ตลาดฤดูหนาวทำให้พวกเขาต้องกลับไปสานสัมพันธ์กับเซาท์แธมป์ตันอีกครั้ง เพื่อขอซื้อเวอร์กิลเข้าสู่ทีม และนั่นทำให้ลิเวอร์พูลต้องจ่ายเงินเป็นสถิติโลกสำหรับตำแหน่งกองหลังให้กับเซาท์ แต่เงินจำนวนนั้น จะกล่าวว่ามันคุ้มค่าทุกเพนนี เมื่อเวอร์จิลมาถึงลิเวอร์พูล เขาก็ได้รับการส่งลงสนามทันที ซึ่งมีนักเตะไม่กี่คนเท่านั้นในยุคเยอร์เก้นจะเป็นเช่นนี้

แม้ฤดูกาลนี้พวกเขาจะยิงได้มากมายในบางนัด แต่บางนัดก็ยังทำอะไรคู่แข่งไม่สำเร็จ ผลเสมอ ถึง 12 นัด คือหลักฐานสำคัญ และจบฤดูกาลพวกเขายังคงได้อันดับสี่ ด้วยการมี 75 แต้ม ตามหลังแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่คว้าแชมป์ด้วยคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ลีก ที่ 100 แต้ม การห่างถึง 25 แต้มนั้นดูจะไกลมาก มาตรฐานที่ซิตี้ทำเอาไว้ก็สูงเสียดฟ้า และยากที่จะมีใครทาบทาม

ฤดูกาล 2018-19 นัดสุดท้ายที่แอนด์ฟิลด์ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปผมไม่อาจทำนายได้ แต่ถ้าเราเก็บสามแต้มได้ มันโอเคมาก นั่นคือสิ่งที่เราเห็นแล้วว่าอดีตเป็นมาอย่างไร และตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน ความสำคัญเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญ สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล มันมีความหมายมากกว่านั้นมาก และพวกเราในหมู่เดอะค็อปก็รู้ดีว่า พวกเราไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุด พวกเราไม่เคยทิ้งความฝัน และเดินไปด้วยกันกับทีม แม้จะจะสมหวัง หรือล้มเหลว

บทถัดไป

A Season To Remember #02

A Season To Remember #03

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *